[ กลับไปสารบัญ ]

ภาคที่ ๑,   ตอนที่ ๒

3.  ยุโรป, กลับเมืองไทย ๒,  พ.ศ. ๒๔๗๔

๑๒๓. เรื่องของกรุงปารีส
๑๒๔. ไปสวิตเซอร์แลนด์และสเปน
๑๒๕. Alliette Bonnet และ Exposition ในกรุงปารีส
๑๒๖. Ouchy Evian Geneva
๑๒๗. ไปลอนดอน
๑๒๘. Luxumbourg, Germany
๑๒๙. Czecho Slovakia
๑๓๐. Austria
๑๓๑. Hungary
๑๓๒. Budapest-Paris
๑๓๓. มารดาถึงแก่กรรม
๑๓๔. เตรียมตัวกลับประเทศไทย และเรื่องเบ็ดเตล็ด
๑๓๕. การเดินทางกลับประเทศไทย
๑๓๖. กลับถึงกรุงเทพฯ
๑๓๗. ตำแหน่งหน้าที่ราชการ
๑๓๘. เรื่องงานศพมารดา
๑๓๙. สร้างบ้าน
๑๔๐. เหตุการบ้านเมืองในปี พ.ศ.๒๔๗๕

๑๒๓. เรื่องของกรุงปารีส

       เดือนพฤษภาคม ได้พักผ่อนและเที่ยวข้าง ได้รู้จักกับผู้หญิง ๒ คน ที่สนิทกันหน่อยคือ "สเตลลา" เป็นครึ่งอเมริกันใต้กับรัสเซียน มาจากเซี่ยงไฮ้ และ "ตามารา" มาจากประเทศยอร์เยีย ได้ไปเที่ยวกันเสมอ นอกจากนั้นได้ขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวตามสถานที่ใกล้เคียงกรุงปารีส เช่นเซนต์เยอร์แมงเป็นต้น นับว่ารู้จักเมืองฝรั่งเศสดีขึ้นมาก
        ในระหว่างนี้ ได้ไปดูและฟังโอเปราที่โรงละครโอเปราสองสามครั้ง โรงละครโอเปราในกรุงปารีสนี้ยกย่องกันว่าเป็นอาคารที่สวยงามทั้งภายนอกภายใน และเป็นสง่าราศรีสำหรับกรุงนี้แห่งหนึ่ง การไปฟังโอเปรานั้นข้าพเจ้าได้เลือกไปในวันศุกร์ เพราะวันนั้นเป็นวันที่คนดูทุกคนต้องแต่งตัว ที่ว่าต้องแต่งตัวนั้นหมายความว่าต้องแต่งเครื่องราตรีทั้งหญิงชาย ถ้าไม่แต่งก็เข้าไปฟังไม่ได้ การไปดูและฟังโอเปรานี้ตามสมบัติผู้ดีแล้วต้องไปก่อนเวลา และต้องเข้านั่งที่ก่อนเปิดฉาก เพราะเปิดฉากแล้วเสียงต่างๆ ต้องเงียบหมดพูดคุยกันไม่ได้ เกือบอยากจะพูดว่าหายใจก็ไม่ได้ พอใครไอออกมาสักแค๊กหนึ่ง คนก็หันมามองดูตาเดียวกัน เดินเข้าออกไม่ได้ พวกไปฟังนั้นตั้งอกตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ คนที่ฟังไม่เป็นก็เห็นจะไปดูสถานที่ว่างามเพียงใด และดูคนดูแต่งตัวไปอวดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงแต่งตัวกันสวยมาก ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างปิดฉากคนดูก็ออกมาพักผ่อนที่ระเบียง คุยกัน เดินไปเดินมาอวดเครื่องแต่งตัว อวดเครื่องเพชรนิลจินดาที่สวมไปเป็นที่โชว์แฟชั่นดีมากแห่งหนึ่ง
        นอกจากโอเปรา ได้ไปดูโอเปราคอมมิคครั้งหนึ่ง สำหรับการแสดงชนิดนี้ข้าพเจ้าชอบมาก เพราะเพลงฟังง่ายและไพเราะ ส่วน Musical Comedy นั้นได้ไปดูหลายครั้ง เช่นที่ "คาซิโน เดอ ปารี" และที่ Follies Berg?re สำหรับคาซิโน เดอ ปารีนั้นกำลังแสดงเรื่องซึ่งโจเซฟิน เบเคอร์ (หญิงนิโกร) เป็นนางเอก และมีเพลงที่ popular มากคือเพลง J' ai deux amours ส่วนที่ Follies Berg?re ก็ได้ฟังเพลงเพราะๆ ดูความขบขัน เป็นความสวยงามของฉาก เห็นผู้หญิงสาวๆ รูปร่างงามๆ แต่งตัวสวยๆ มาเต้นระบำเป็นชุดๆ บางชุดก็แต่งตัวอย่างโป๊ๆ แบบฝรั่งเศส ในเรื่องศิลปต่างๆ แล้วเห็นจะต้องยกให้ฝรั่งเศสเป็นที่หนึ่ง
        ข้าพเจ้าได้คิดอยู่เสมอว่า คนเรานี้ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บต้องตายเป็นผลที่สุด ส่วนชาติหน้าจะเป็นอย่างไรนั้นอย่าไปคิดให้เสียเวลาเลย จะมีชาติหน้าหรือไม่ หรือว่าเราจะทุกข์สุขอย่างใดเราก็ไม่ได้รับประโยชน์หรือได้รับความรู้สึกอะไรในชาตินี้ ที่สำคัญก็คือความเป็นอยู่ของเราในชาตินี้ คือชีวิตของเราที่มีอยู่คราวนี้ เมื่อปรากฏดังนี้แล้วในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่นี้เราต้องหาความรู้ ความสุข ความสนุก ความเพลิดเพลิน และความสบายในทุกๆ ทางและในทุกๆโอกาส อะไรที่เราเห็นว่าไม่ผิดเราก็ทำไป นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเกิดมาไม่เสียชาติ แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าให้เราทำอะไรที่พอใจเราทุกอย่างจนปรากฏว่าเป็นคนอกตัญญูหรือเป็นคนไม่มีศีลธรรม สำหรับในกรุงปารีสและสถานที่ใกล้เคียงนี้มีอะไรต่ออะไรซึ่งเป็นที่พอใจเรามากมายทั้งในด้านความรู้ ความสนุกและสวยงาม ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสแล้วเราก็ต้องชมเสียให้ทุกอย่าง เพื่อทั้งความสนุกเพลิดเพลินและความรู้ด้วย
        ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนอยู่ในประเทศอเมริกา เคยได้ยินได้ทราบเรื่องกรุงปารีส มามากมายว่าเป็นกรุงที่สวยงาม มีที่น่าชม น่าเที่ยวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสนุกสนานที่เกี่ยวกับชีวิตและผู้หญิงแล้วไม่มีที่ใดสู้ได้ในโลก ครั้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ ข้าพเจ้าได้เดินทางผ่านและได้พักอยู่ในกรุงนี้เดือนเศษ ก็รู้สึกว่าจริงตามที่เขาบอกเล่า มาคราวนี้ได้มีโอกาสพักอยู่ในกรุงนี้ ๑ ปีเต็มๆ ยิ่งรู้สึกมากขึ้นอีก คือรู้สึกว่าชาวฝรั่งเศสชอบสนุก โดยเฉพาะในเรื่องกามารมณ์แล้วเห็นเป็นธรรมชาติ คิดหาทางเพลิดเพลินในทางนี้เป็นพิเศษ ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่สนใจอยากทราบความเป็นไปแห่งชีวิต ความสนุกสนานของกรุงปารีส จึงได้เที่ยวดูในสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นความรู้ คงได้ความดังนี้
        ๑. สำนักหญิงโสเภณี สำนักนี้จะตั้งขึ้นได้ก็ต้องมีใบอนุญาตจากทางการโดยเสียค่าธรรมเนียม นอกจากนั้นผู้หญิงทุกคนตามสำนักต่างๆ ต้องขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น แล้วมีนายแพทย์มาตรวจโรคทุกคนทุกสัปดาห์ สำนักชนิดนี้มีหลายชั้นด้วยกัน ตั้งแต่ถูกมากที่สุดไปจนแพงมากที่สุด สำหรับชั้นถูกราคาเพียง ๓๐ แฟรงค์เท่านั้น (ไม่ถึง ๓ บาท) ตัวสำนักเป็นที่ไม่ค่อยสะอาดนัก ผู้ไปเที่ยวเข้าไปคอยในห้องโถงแล้วแม่บ้านก็นำหญิงเปลือยกายออกมาเข้าแถวให้ผู้ไปเที่ยวได้เลือก รูปร่างหน้าตาของหญิงเหล่านี้ไม่ค่อยสวยหรือติดอกติดใจผู้ไปเที่ยวนัก มีทั้งหญิงนิโกรด้วย รู้สึกว่าเป็นหญิงชั้นต่ำมาก การเข้าออกในสำนักไม่ค่อยจะมีที่ปิดบังกันได้ สำหรับสำนักราคา ๕๐ แฟรงค์ก็คงมีฐานะดีขึ้นกว่าสำนัก ๓๐ แฟรงค์ในทุกๆ ทางขึ้นอีกเล็กน้อย
สำหรับคนเที่ยวชั้นกลางมีสำนักราคา ๑๐๐-๑๕๐ แฟรงค์ สำนักชั้นนี้สถานที่สะอาดสะอ้านดีเหมือนกับบ้านผู้มีอันจะกินเรานี้ มีห้องรับแขกตบแต่งอย่างสวย ๒-๓ ห้องเพื่อให้ผู้ไปเที่ยวได้หลบพักโดยไม่พบกันได้ ระหว่างที่ผู้ไปเที่ยวเข้าไปคอยในห้องรับแขก แม่บ้านซึ่งแต่งตัวชุดราตรีก็ออกมาปราศรัยก่อน เมื่อเธอออกไปแล้วเธอก็ส่งลูกน้องของเธอเข้ามาปราศรัยกับผู้ไปเที่ยวทีละคน ทุกๆคนแต่งตัวราตรีและมีกลิ่นน้ำอบอันหอมของฝรั่งเศสกลิ่นต่างๆ ด้วย แต่ละคนเข้ามาปราศรัยด้วยสักราวคนละหนึ่งนาทีแล้วเขาก็ออกไป คนใหม่ก็เข้ามา เมื่อหมดตัวคนเลือกผู้นั้นมาพบ พาขึ้นไปห้องนอน ห้องนอนตบแต่งหรูมาก เครื่องเรือนอย่างบ้านเศรษฐี มีห้องน้ำอันสะอาดติดกับห้องนอน หญิงผู้รับรองเหล่านี้โดยมากกิริยาวาจาเรียบร้อย ทั้งนี้เขาก็คงหวังให้ผู้ไปเที่ยวพอใจจะได้มาบ่อยๆ และจะได้เลือกตัวเขา มีระเบียบอยู่อย่างหนึ่งตามสำนักเหล่านี้เขาห้ามไม่ให้หญิงเหล่านี้ขอเงินผู้ไปเที่ยวนอกราคาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ก็คงเกรงว่าถ้าพวกนี้ขอรางวัลเป็นพิเศษแล้วพวกไปเที่ยวอาจเบื่อและไม่พอใจ คงไม่ไปเที่ยวที่นี่อีก หญิงเหล่านี้เขาคัดเลือกมาค่อนข้างงามมากทีเดียว ถ้าหากเราเดินตามถนนในเวลากลางวัน แล้วจะไม่ได้นึกได้ฝันเลยว่าเป็นหญิงจำพวกนี้
สำหรับคนชั้นสูงหน่อยมีสำนักราคา ๒๕๐-๓๐๐ แฟรงค์ สำนักชั้นนี้มีวิธีการคล้ายคลึงกับสำนัก ๑๐๐-๑๕๐ แฟรงค์ เป็นแต่หรูกว่า ตัวสำนักตอบแต่งยังกับวัง ห้องรับแขกห้องนอนมีเครื่องตบแต่งประดับทอง ตัวผู้หญิงแต่งตัวงามมาก
มีสถานที่แห่งหนึ่งทำเป็นที่ประวัติศาสตร์เสียด้วย คือว่าพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ สมัยหนึ่งเคยเสด็จข้ามมาเที่ยว ณ ที่บ้านนี้บ่อยๆ จึงโปรดให้ทำเตียงพิเศษซึ่งยกเป็นเก้าอี้ได้ ผู้นำเที่ยวชอบพาไปชมเตียง เก้าอี้ตัวนี้ แล้วกล่าวประวัติของเตียงเก้าอี้ตัวนี้ด้วย
         ๒. สถานที่อาบน้ำ ในประเทศฝรั่งเศสนี้รู้สึกว่าการอาบน้ำตามบ้าน หรือที่พักไม่ค่อยสะดวก นอกจากบ้านที่สมัยใหม่หน่อย ฉะนั้นจึงเกิดมีสถานอาบน้ำขึ้น และก็เป็นของธรรมดาของฝรั่งเศส เมื่อมีการรับคนมาอาบน้ำแล้วก็เลยให้มีของล่อใจผู้มาอาบอีกด้วย จึงหาหญิงงามๆ ไว้สำหรับถูตัว สถานที่ชนิดนี้เมื่อผู้ไปอาบน้ำเข้าไปแสดงความประสงค์จะอาบน้ำ เจ้าของสถานที่เขาก็ถามว่าจะอาบเองหรือต้องการคนถูตัวด้วย ถ้าต้องการคนถูตัวเขาก็นำมาให้เลือก ผู้ถูตัวนั้นจะทำความสะอาดให้ทุกอย่างตลอดจนจะตกลงอย่างใดต่อไปอีกก็ไม่ขัดข้อง
        ๓. โรงเต้นรำ โรงเต้นรำมีจำนวนมากมายและมีหลายชั้น ชั้นของโรงเต้นรำที่เราจะดูได้ว่าเป็นที่ดีหรือต่ำด้วยราคาเหล้าแชมเปญ ถ้าชั้นต่ำแชมเปญขวดละไม่กี่สิบแฟรงค์ แต่ถ้าชั้นสูงแชมเปญชนิดเดียวกันราคาตั้งหลายร้อยแฟรงค์ แต่จะเป็นชั้นสูงหรือต่ำก็ดีสำหรับพื้นเต้นรำแล้วมีขนาดเล็กมาก ทั้งนี้เพราะด้วยเหตุผลสองประการ คือ ๑. รัฐบาลเก็บภาษีพื้นเต้นรำแพงมาก ฉะนั้นเขาจึงทำพื้นให้เล็กเพื่อเสียภาษีถูกหน่อย ๒. ชาวฝรั่งเศสมิได้นิยมศิลปแห่งการเต้นรำเป็นพิเศษ สักแต่ว่าได้เต้นรำแล้วไปเบียดๆ กันก็เพลิดเพลินดีกว่าตั้งอกตั้งใจแสดงศิลปในทางนี้
โรงเต้นรำส่วนมาก คือ ตั้ง ๙๐ เปอร์เซ็นต์มีหญิงประจำสำหรับรับรอง ความสะอาด ความสวยงาม และการแต่งตัวของพวกนี้ดีเลวเพียงใดก็แล้วแต่สถานที่สูงหรือต่ำ โรงเต้นรำชั้นสูงหน่อยก็มักจะมีสลับฉากมาแสดงให้ดูบางตอน แล้วต้องมีดนตรี ๒ วง คือ วงแทงโกวงหนึ่ง แล้ววงเล่นเพลงในจังหวะอื่นๆ อีกวงหนึ่ง
        ๔. คุก Bastille แต่ไหนแต่ไรมาเราก็ทราบว่า วันสำคัญของประเทศฝรั่งเศสคือ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม วันนี้ต้องหยุดงานเป็น National Holiday ผู้ที่เรียนประวัติศาสตร์ก็ทราบเรื่องดีว่าวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ.๑๗๘๕ เป็นวันที่เกิดปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส โดยมีการแหกคุก Bastille คุกนี้เป็นคุกสำคัญ ได้เคยขังนักการเมืองและคนสำคัญๆ มามาก เช่น ผู้สวมหน้ากากเหล็ก ฯลฯ คุกนี้มีหอสูง ๗ หรือ ๘ หอ ข้าพเจ้าได้ผ่านคุกนี้หลายสิบครั้งและทุกครั้งที่ผ่านจะต้องนึกถึงประวัติศาสตร์ตอนนี้
เรื่องของกรุงปารีสเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ และความรู้เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ยังมีอีกมากมาย ถ้าจะจดลงทุกอย่างก็คงไม่รู้จักจบได้ ขอยุติไว้ก่อน
มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่สำคัญของกรุงปารีส และที่ข้าพเจ้าชอบไปขี่รถเล่นเสมอ คือใน Bois de Boulogne เป็นสถานที่เย็นสบายดี ในเวลาเย็นๆ หรือวันอาทิตย์แล้วมีคนไปขี่รถหรือแต่งตัวงามๆ ไปเดินเล่นหรือไม่ก็ไปพายเรือเล่นในสระใหญ่ในบัวเดอบูโลนนี้มีสถานที่เต้นรำหลายแห่ง แต่ที่ข้าพเจ้าไปเสมอคือ ชาโต เดอ มาดริด ซึ่งเป็นสถานที่หรูมาก

๑๒๔. ไปสวิตเซอร์แลนด์และสเปน

       เมื่อเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เสด็จกลับจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสใต้ก่อนประชวรหนัก ได้ทรงปรารภว่าอยากไปเที่ยวสเปนนัก ข้าพเจ้าจึงได้ศึกษาเรื่องประเทศสเปนในขณะนั้นว่าควรไปที่ใดควรได้ดูอะไรบ้าง เตรียมไว้ว่าจะไปบาสโลนา มาดริดและเซวิล แต่เมื่อท่านได้สิ้นพระชนม์เสียแล้ว โปรแกรมการไปก็ล้มเลิก แต่ข้าพเจ้ายังติดใจที่อยากจะไปอยู่ จึงได้กราบทูลลาท่านหญิงเพื่อไปเที่ยวประเทศสเปนนี้สัก ๑๐ วันและคิดว่าจะขับรถยนต์ไปเอง เมื่อทรงอนุญาตแล้ว ข้าพเจ้าก็ชวนหลวงวิสูตรวิรัชชเทศไปด้วย (รูปภาพ) การเดินทางได้กำหนดผ่านประเทศสวิตเซอร์แลนด์ลงไปทางฝรั่งเศสได้ ไปเมืองบาสโลนาก่อน
        วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๗๔ เวลาเช้ามืดเราได้ออกเดินทางจากปารีส ผ่านไปทางเมืองฟอนเทนบโล แล้วไปผ่านเมืองดีจอง แล้วเข้าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตอนเย็นถึงเมืองโลซานและพักแรมคืนที่เมืองนั้น นายแนบ พหลโยธิน ได้อาศัยไปกับรถเพื่อไปลงที่เมืองแกรนโนบด้วย เมืองโลซานนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาติดกับทะเลสาบเยนีวา เป็นเมืองขนาดเขื่องและสำคัญของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมืองหนึ่ง และเป็นเมืองที่มีนักเรียนมาก รวมทั้งนักเรียนที่มาจากต่างประเทศด้วย เพราะมีโรงแรมและมหาวิทยาลัยดีๆ หลายแห่งเมืองนี้อยู่ห่างจากเมืองเยนีวาเพียง ๔๐ กิโลเมตรเท่านั้น ค่ำวันนั้นเราทั้ง ๓ คือ หลวงวิสูตรฯ คุณแนบ และข้าพเจ้าก็ได้ออกเที่ยวดูชีวิตความสนุกสนานของชาวสวิตในเมืองนี้ในสถานที่ต่างๆ เช่นตามโรงเต้นรำเป็นต้น รู้สึกว่าไม่ครึกครื้นเหมือนกับในฝรั่งเศส
        รุ่งขึ้นวันที่ ๒๑ เมื่อเที่ยวดูเมืองโลซานโดยตลอด แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองเยนีวาซึ่งตั้งอยู่บนมุมของทะเลสาบเยนีวา เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญเพราะเป็นที่ตั้งของสันนิบาตชาติ (League of Nations) เป็นเมืองที่สวยงามและน่าอยู่ จากในเมืองมองเห็นยอดมองต์บลองค์ (ภูเขาขาว) ไกลๆ ซึ่งเต็มไปด้วยหิมะขาวสวยน่าดู เราพักเที่ยวดูสถานที่ที่เมืองนี้ ๑ วัน ๑ คืน หลวงวิสูตรฯ เคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว จึงเป็นผู้พาข้าพเจ้าดูสถานที่ต่างๆ เช่นที่ทำการของสันนิบาตชาติแผนกต่างๆ ห้างร้านขายของ และสถานที่หย่อนใจหลายแห่ง
        วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๗๔ เราออกเดินทางไปแกรนโนบ ผ่านเมืองเอกซ์เลยส์ เบงค์ในประเทศฝรั่งเศส ถึงเมืองแกรนโนบเวลาค่ำ และได้พักที่นั่น ๑ คืน ได้พบกับนักเรียนไทยที่นี่หลายคน เมืองแกรนโนบนี้เคยได้ยินชื่อมานานแล้ว เพราะนักเรียนไทยที่ออกมาศึกษาในประเทศฝรั่งเศสมักจะมาตั้งต้นเรียนที่เมืองนี้ เราได้เที่ยวดูเมืองโดยตลอดทั้งกลางวันกลางคืน
        วันที่ ๒๓ เราก็ออกเดินทางต่อไปทางทิศใต้ของประเทศฝรั่งเศส ถึงเมืองมองเพลลิเอ เวลาเย็น เราได้พักที่เมืองนั้น ๑ คืน ได้พบกับนักเรียนไทยอีกหลายคน เมืองนี้ก็เมืองใหญ่มาก มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนดีๆ หลายแห่งเหมือนกัน เมื่อได้เที่ยวดูเมืองโดยตลอดแล้วทั้งกลางวันกลางคืน วันที่ ๒๔ ออกเดินทางต่อไป ตอนบ่ายเข้าเขตประเทศสเปนเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองบาสโลนา ที่ข้าพเจ้าอยากไปเที่ยวประเทศสเปนก็เพราะเขาลือกันว่าเป็นประเทศที่มีอะไรต่ออะไรแปลกๆ ไปจากประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่นกีฬาแทงวัวซึ่งเคยเห็นในภาพยนตร์ แต่อยากเห็นของจริงๆ นอกจากนั้นเขาว่าผู้หญิงสวยมากอีกด้วย ฉะนั้น ตั้งแต่เข้าเขตแดนประเทศนี้แล้วจึงรู้สึก ตื่นเต้นนิดหน่อย ก่อนที่เราจะเดินทางไปนี้ เหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศสเปนไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะพึ่งจะได้มีการปฏิวัติให้พระเจ้าแผ่นดินแอลฟอนโซที่สิบสามออกจากราชสมบัติ ฉะนั้นตอนที่เราถึงเขตแดนฝรั่งเศสกับสเปน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจดูหนังสือเดินทางของเราอย่างกวดขัน แต่บังเอิญเราทั้งคู่มีหนังสือเดินทางทูต จึงค่อยสะดวกหน่อย
        ถึงเมืองบาสโลนาเวลาเย็น ได้ไปพักอยู่ที่โฮเต็ลโคลอน ซึ่งเป็นโฮเต็ลที่หรูที่สุด ข้าพเจ้าชอบเมืองนี้เป็นพิเศษเพราะสวยงามและสนุก กลางวันกลางคืนเหมือนกันหมด ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง รถราง รถบัสเดินตลอด ๒๔ ชั่วโมง ผู้หญิงสวยมาก ได้ไปดูกีฬาที่ชาวสเปนนิยมกันนักหนาคือการแทงวัว เขามีทุกวันที่สเตเดียมใหญ่ ผู้ดูต้องซื้อตั๋วเข้าไปเหมือนเข้าดูฟุตบอล และก็มีคนเข้าไปดูกันแน่นๆ ทุกวัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากีฬาเกมนี้ค่อนข้างทารุณ คือตั้งต้นก็ปล่อยเจ้าวัวดุมากออกมาวิ่งเพ่นพ่าน วัวแต่ละตัวนี้เขาว่ามีพิธีเลี้ยงให้มันดุก่อนให้มันออกสนาม คือขังไว้ในห้องมืดบ้าง ให้อดอาหารเสียบ้าง เมื่อวัวกำลังวิ่งเพ่นพ่านอยู่นั้นก็มีนักล่าวัวออกมาต่อสู้ ถือผ้าแดงผืนหนึ่งล่อ พอวัววิ่งรี่เข้าใส่เขาก็หลบอย่างว่องไว ทุกๆครั้งที่หลบได้คนดูก็ตบมือกราวให้ เกียรติยศ อันที่จริง สำหรับผู้ที่ออกไปแสดงนี้ก็ต้องฝ่าอันตรายมากเหมือนกัน เพราะถ้าพลาดท่าหรือล้มลงเสียหลักแล้วเจ้าวัวนั้นจะเข้าขวิดถึงตายเลยก็ได้ ต่อจากนั้นก็มีผู้ขี่ม้าถือหอกยาววิ่งไล่วัว พอใกล้วัวก็พุ่งหอกให้ไปปักที่คอวัว ถ้าปักได้อย่างแม่นยำโดยให้หอกนั้นติดแล้วชี้ตรงขึ้นไป บนฟ้า คนดูก็ยิ่งให้เกียรติมาก บางคนยิ่งแสดงความสามารถยิ่งขึ้นไปอีกคือถือหอกคู่ เมื่อขี่ม้าไล่พอเข้าไปใกล้วัวก็พุ่งหอกทั้งคู่ให้ไปปักคอเป็นรูปตัว V ได้ ดังนี้ก็ต้องนับว่าเป็นผู้สามารถมากฝีมือเยี่ยมทีเดียว ส่วนเจ้าวัวนั้นสักครู่หนึ่งออกมาฟันเส้นอะไรเส้นหนึ่งที่ใกล้ๆคอ วัวก็ล้มลงสิ้นใจ แล้วเขาก็จูงม้าออกมาลากวัวตัวนั้นเข้าโรง สำหรับคนใจอ่อนอย่างข้าพเจ้าเมื่อได้เห็นวัวถูกแทงจนสิ้นใจนั้น มีความสงสารและใจเต้นแทบเป็นลม ต่อมาตัวหลังๆก็ค่อยชินไป โปรแกรมวันหนึ่งๆ มีการแทงวัวโดยวิธีต่างๆดังที่เล่านี้วันละ ๖ ตัว นอกจากนั้นยังมีของพิเศษแถมให้ดูอีก เช่นให้วัวขวิดท้องม้าจนถึงไส้ทะลักออกมากองกับพื้นดินน่าหวาดเสียว เขาปิดตาม้าเสียข้างหนึ่ง คือข้างที่ให้วัวเข้าขวิด วัวก็ขวิตเอาๆข้างเดียว ม้าไม่ได้สู้เลย เมื่อไส้ทะลักออกมาแล้วเขาก็จูงม้าเดินลากไส้เข้าโรงไป สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงปืนยิงม้าตัวนั้นให้ตายไป ชาวเมืองนี้เห็นกีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาวิเศษมาก ตบมือให้เกียรติผู้แสดงเต็มที่ ระหว่างการแสดงนี้มีดนตรีให้ฟังตลอดเวลาพวกผู้หญิงสวยๆ มักจะมีดอกไม้ไปด้วย แล้วก็ขว้างให้ผู้แสดงที่สามารถ กีฬาเช่นนี้สำหรับข้าพเจ้าดูครั้งเดียวพอแล้ว
        อาหารเย็นในเมืองนี้รับประทานกันดึกมากตั้ง ๓-๔ ทุ่ม ละครตั้งต้นเล่น ๔-๕ ทุ่ม โรงเต้นรำเปิดตั้งสองยามหรือตีหนึ่ง ได้ไปดูละครคืนหนึ่ง โรงละครก็แปลกมากมีทางเดินให้ผู้แสดงเดินมายังผู้ดูและทักทายปราศรัยได้ ผู้ดูจะแตะต้องถูกตัวผู้แสดงก็ได้ และผู้ดูจะสั่งเหล้ามาดื่มขณะละครเล่นก็ได้ มีที่วางถ้วยแก้วและขวดเหล้าหลังพนักของคนนั่งข้างหน้าเรา ภายหลังละครเลิกแล้วได้ไปเต้นรำในโรงเต้นรำต่างๆหลายแห่งสนุกสนานดีกลางคืนบางคืนก็มีเต้นรำกันกลางถนน ใครเดินผ่านมาจะเต้นกับใครก็ได้ดูก็เป็นธรรมเนียมที่แปลก แต่เขาว่าต้องระวังในเรื่องนี้หน่อย ชาวสเปนขี้หึงเป็นที่สุด ถ้าเราเข้าไปเต้นกับหญิงใดที่เขามีคู่รักแล้วอาจเกิดเรื่องก็ได้ ตอนเย็นๆมีถนนสายหนึ่งมีต้นไม้ครึ้มไม่มีแดด แล้วมีเก้าอี้นั่งตลอดข้างทาง มีคนเดินไปเดินมาแน่นไปหมดโดยมากมักเป็นผู้หญิงสวยๆ แต่งตัวไปประกวดกัน เราไปนั่งหรือไปเดินแล้วเพลินมาก แต่นั่งที่ใดแล้วอย่าเปลี่ยนที่ให้บ่อยนักเพราะพอหย่อนกันลงไป เขาก็มาเก็บสตางค์ค่าที่นั่ง การเดินไปเดินมานี้มีไปจนกระทั่งเวลากลางคืน
        มีโรงเต้นรำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ปลายสะพานยื่นลงไปในทะเล เป็นที่หรูพอใช้ มีผู้คนไปเที่ยว ไปรับประทานอาหาร ไปเต้นรำอยู่แน่นๆ ตลอดเวลา เราก็ได้มีโอกาสไปที่นี้หลายครั้ง
        บังเอิญเป็นเคราะห์ดีของเราอีกด้วยที่ทางการของเมืองนี้เขากำลังจัดจะให้มี Exposition ซึ่งจัดเป็นงานใหญ่ และจะได้ทำพิธีเปิดใน ๒-๓ วันนั้น เจ้าหน้าที่กำลังเร่งมืออย่าง เต็มที่ เราได้มีโอกาสไปชมสถานที่นั้นด้วยความพอใจมาก เพราะเขาได้จัดทำอย่างใหญ่โตและสวยงาม มีอะไรต่ออะไรซึ่งให้ความรู้พิเศษแก่เรามาก
        ภายในโฮเต็ลที่ข้าพเจ้าพักอยู่นั้น ชั้นใต้ถุนมีคาบาเรต์และเต้นรำซึ่งเราได้ลงไปสนุกสนานด้วย ได้ชมระบำสเปนเป็นที่ติดอกติดใจ สรุปความว่าระหว่างที่พักอยู่เมืองนี้ ๓ วันเพลิดเพลินมาก และเห็นว่าเป็นเมืองที่น่าเที่ยวชม คนไทยน้อยคนที่ได้เคยมาเที่ยวเมืองนี้
        ในเมืองนี้ความที่ผู้คนนิยมทำงานในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน ผู้ทำงานกลางคืนได้ค่าจ้างน้อยกว่าผู้ทำงานกลางวัน เช่นพวกขับรถราง รถบัส เป็นต้น
        เมืองบาสโลนานี้เป็นเมืองใหญ่ที่สองจากกรุงมาดริดในประเทศสเปน เป็นเมืองท่าเรือสำคัญทางด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเป็นเมืองอุตสาหกรรมด้วย มีพลเมืองเจ็ดแสนกว่าคน
        วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๗๔ เวลาบ่ายออกเดินทางจากบาสโลนา มุ่งตรงไป ซานเซบาสเตียนในประเทศสเปนนั้นเอง แต่การเดินทางนี้จะเดินทางผ่านไปทางประเทศฝรั่งเศสกับสเปน เวลาขับรถไปรู้สึกว่าถนนทำขึ้นไปสูงมาก เพราะขึ้นเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งหลายชั่วโมง ยิ่งขึ้นไปสูงก็พบหิมะและน้ำแข็ง และอากาศชักจะเย็น ซึ่งฤดูนี้เป็นฤดูร้อนแท้ๆ ถนนสายนี้เปลี่ยวมาก เดินทางตั้งหลายชั่วโมงไม่พบหมู่บ้านหรือผู้คนเลย เราไปกันสองคนชักจะกลัวๆ ถูกปล้นอยู่บ้างเหมือนกัน ระหว่างทางนี้ได้พบป้ายบอกทางไปประเทศแอนดอร์รา ซึ่งเป็นประเทศเล็กมากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป มีเนื้อที่ประมาณ ๑๙๐ ตารางไมล์ และมีพลเมืองเพียงหกพันคนเท่านั้น เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนภูเขา ไม่ค่อยจะมีใครเข้าไปในประเทศนี้ เพราะไม่มีอะไรที่ชวนให้เข้าไปดู ไม่มีถนนหนทางที่ดีและไม่มีพักแรม เราเดินทางต่อไปจนถึงเวลาค่ำก็ถึงตีนเขาเข้าเขตแดน ฝรั่งเศส แล้วเราก็เลยพักอยู่ที่โรงแรมเล็กๆในหมู่บ้านที่ปลายแดนนั้นเอง
        รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๒๘ เดินทางต่อไปในประเทศฝรั่งเศส ผ่านเมือง "พอ" แล้วไปผ่านเบียริตส์ ไปเข้าเขตสเปนทางด้านมหาสมุทรแอตแลนติค แล้วเดินทางต่อไปถึงซานเซบาสเตียนในเย็นวันนั้น เราได้ไปพักที่โฮเต็ลหรูที่สุด เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศชายทะเลทางด้านมหาสมุทรแอตแลนติคของประเทศสเปน มีคนมาตากอากาศฤดูร้อนมาก รวมทั้งผู้คนมาจากฝรั่งเศสและอเมริกาด้วย เป็นเมืองขนาดไม่สู้ใหญ่โตมากมายนัก แต่ก็รู้สึกพอดู เราได้เที่ยวกันอย่างเพลิดเพลินมาก ผู้หญิงสเปนงามที่สุดตามเคย ที่นี่มีโรงบ่อนเล่นการพนันเช่นเดียวกับเมืองตากอากาศชายทะเลของฝรั่งเศส เฉพาะตัวตึกคาซิโนของเมืองนี้ใหญ่มาก นอกจากนั้นมีถนนงามๆ สำหรับรถวิ่งชายทะเล ในเวลากลางคืนก็สนุกครึกครื้นดี มีโรงเต้นรำหลายแห่ง การเที่ยวในประเทศสเปนนี้มีอยู่ข้อเดียวที่รู้สึกทำให้หมดรสสนุกเต็มที่ไปหน่อยหนึ่งคือเรื่องภาษา เราเรียนรู้ไปไม่กี่คำ พูดคุยกับใครก็ ไม่ได้ พบใครพูดภาษาฝรั่งเศสได้ก็ดีใจมากแล้ว ไม่ต้องรู้ถึงภาษาอังกฤษ
        วันที่ ๒ ที่เราได้พักอยู่เมืองนี้ ได้เกิดมีการสไตรค์กันใหญ่ มีการยิงกัน ล้มรถรางปิดร้านขายของ ฯลฯ เสียงปืนยิงกันดังลั่น ทหารต้องออกปราบ ข้าพเจ้าพักอยู่ในโฮเต็ลออกจะตกใจ แต่ก็อดออกไปดูเหตุการณ์ไม่ได้ สอบสวนคงได้ความว่ามีพวกๆ หนึ่งต้องการสไตรค์ให้ปิดร้านของในเมืองทั้งหมด ถ้าร้านใดไม่ปิดก็ยิงปืนเข้าไปในร้านนั้น รถรางคันใดไม่หยุดก็เดินเฮกันไปผลักรถรางคันนั้นให้ล้มลง ฟังๆดูเหตุการณ์ก็เห็นว่าเมืองสเปนนี้ท่าทีจะยุ่งแน่ ถ้าเราไม่รีบเดินทางกลับเข้าฝรั่งเศสเสียอาจตายหรือติดอยู่ที่นี่เลยก็ได้ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ตอนเย็นเราจึงเดินทางกลับ ตอนค่ำเข้าเขตแดนฝรั่งเศส ระหว่างทางพบกองทหารตลอดถึงเมืองเบียริตส์ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศฤดูร้อนของฝรั่งเศสที่สำคัญเมืองหนึ่งทางด้านมหาสมุทรแอตแลนติค อยู่ไม่ไกลจากเขตแดน สเปนมากนัก เราได้พักอยู่ที่เมืองนี้ ๑ คืน ได้ไปดูโรงบ่อนและไปดูภาพยนตร์ด้วย เมืองนี้หรูมาก ทีเดียว มีผู้คนมาเที่ยวกันมาก มีคาซิโนอยู่ชายหาด มีที่อาบน้ำทะเล มีบ้านหน้าร้อนสวยๆ ของพวกมีเงิน ฯลฯ
        วันที่ ๓๑ เดินทางต่อไปยังเมืองบอร์โด ได้พักที่นั่นหนึ่งคืน และค่ำวันนั้นได้ไปดูละครด้วย ภายหลังละครเลิกเรายังได้ไปทำความรู้จักติดต่อกับนางละครแล้วพาไปรับประทานอาหารอีกด้วย เมืองบอร์โดนี้เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ และเป็นเมืองสำคัญของฝรั่งเศสเมืองหนึ่ง เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่หนึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสได้ถอยหนีเยอรมันมาตั้งอยู่เมืองนี้
        วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๗๔ ออกเดินทางไปตามถนนริมทะเล ผ่านเมืองรอชฟอร์ต ซึ่งเป็นเมืองท่าเรือขนาดย่อมของฝรั่งเศสเมืองหนึ่ง แล้วไปผ่านเมืองลาโรเชล ซึ่งเป็นเมืองหนึ่ง มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เริ่มต้นมาแต่ศตวรรษที่ ๑๒ ตลอดมา เราได้พักชมเมืองนี้นานหลายชั่วโมง ก่อนจะรีบเดินทางต่อไปในตอนเย็นวันนั้น
        เวลาค่ำถึงเมืองนองตส์ ซึ่งเราได้พักนอนที่นั่นหนึ่งคืน เมืองนี้แม้ว่าจะห่างจากมหาสมุทรแอตแลนติคตั้ง ๓๕ ไมล์ โดยมีแม่น้ำใหญ่มาถึง แต่ก็เป็นเมืองท่าเรือใหญ่ที่ ๔ ในประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองสร้างเรือ และเป็นเมืองช่างแสงของทหารเรือ มีระยะทางโดยรถยนต์ห่างจากกรุงปารีสไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๒๕๐ ไมล์ คืนวันนั้นเราก็ได้ออกชมชีวิตความสนุกสนานของชาวเมืองนี้
        วันที่ ๒ มิถุนายน เดือนทางผ่านเมืองออลิออง เลยเข้ากรุงปารีส การไปคราวนี้ปราศจากภัยอันตรายทุกอย่างทุกประการ รถยนต์วิ่งเรียบร้อยดีมาก ข้าพเจ้าได้ขับตลอดทาง เราได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินและได้ความรู้พิเศษมาก อันความรู้รอบตัวนั้นไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการเดินทางไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เช่นนี้

๑๒๕. Alliette Bonnet และ Exposition ในกรุงปารีส

       มิถุนายน (๒๔๗๔) เจ้าคุณทูตได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ที่ Cercle Interieur ในโอกาสที่ M. Maugras จะเข้าไปเป็นทูตฝรั่งเศสที่กรุงเทพฯ ในงานนี้ได้เชิญคนสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส และผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกับคนไทยและประเทศไทยมารับประทานอาหาร ภายหลังอาหารได้มีเต้นรำและ entertainment ซึ่งเชิญนักเรียนและผู้อื่นมาร่วมอีกด้วย งานนี้ข้าพเจ้าได้ช่วยหลวงวิสูตรฯ จัดให้มีขั้น ในค่ำวันนั้นสนุกสนานกันมาก ได้มีโอกาสไปรู้จักกับผู้หญิงฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ "แอลเลียต บอนเน" เป็นผู้หญิงที่ดีและน่ารักน่าเอ็นดูมาก มีนิสัยอ่อนโยน และพูดจาอ่อนหวาน เป็นบุตรีของนายช่างสถาปัตย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ข้าพเจ้าได้ฝึกซ้อมการพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างดีจนถึงกับเขาชมเชย วันหนึ่งเขาได้ชวนไปที่บ้านหน้าร้อนของเขาที่เมืองติเม ห่างจากกรุงปารีสหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งเราได้ไปโดยรถยนต์ของข้าพเจ้า เรายังได้ไปปีนต้นไม้ถ่ายรูปกันไว้เป็นที่ระลึก
        ในเดือนมิถุนายนนี้ ท่านอมรสมานลักษณ์ ได้พาท่านหญิงชวลิตไปรักษาพระองค์ที่สวิตเซอร์แลนด์ ท่านหญิงอัปษรสมานได้ขอให้ข้าพเจ้าไปรับที่มาเซลส์ ได้จับรถไฟจากกรุงปารีสเวลากลางคืน ถึงมาเซลส์เวลาเช้า ได้ไปพบพระเทเวศร์อำนวยฤทธิ์ ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทย และซึ่งได้รู้จักคุ้นเคยกันเมื่ออยู่ปารีส ได้พักอยู่มาเซลส์ ๑ คืน รุ่งขึ้นเรือของบริษัทดัทช์ลำที่ท่านอมรและท่านหญิงชวลิตโดยสารได้มาถึง แล้วเราทั้งสามก็กลับปารีสโดยรถไฟในค่ำวันนั้นเอง
        ในเดือนมิถุนายนนี้ Exposition ที่กรุงปารีสได้เปิดแล้ว เป็นที่สนุกสนานหย่อนใจได้อีกแห่งหนึ่ง มีผู้คนมาเที่ยวกันหนาแน่นทั้งกลางวันกลางคืน คือผู้คนในกรุงปารีสผู้คนในประเทศฝรั่งเศสเอง ผู้คนจากประเทศอื่นๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวหลายครั้งหลายคราว เพราะเขาทำเป็นสถานที่สวยงามและน่าเที่ยวมาก มีที่น่าดู น่าเล่น น่ารับประทานหลายแห่ง การไปเที่ยว Exposition นี้นอกจากในทางเพลิดเพลินสำราญใจแล้วยังได้รับความรู้อีกเป็นอเนกประการ เพราะวิธีการที่เขาจัดนั้นเขาแบ่งสถานที่เป็นตอนๆ ในตอนหนึ่งก็เป็นของประเทศหนึ่งๆ รวมทั้งเมืองขึ้นของเขาด้วย เราจึงได้เห็นของแปลกๆ เช่นบ้านในประเทศต่างๆ ลักษณะของบ้านเป็นอย่างไร เขาก็มาปลูกเป็นบ้านจำลองให้เราดูตามแบบของประเทศนั้นๆ ไม่เฉพาะแต่ประเทศที่รุ่งเรืองแล้ว แม้ประเทศในกลางทวีปแอฟริกาหรือหมู่เกาะในมหาสมุทรที่ไม่ค่อยมีใครไปก็นำมาแสดงให้ดู สินค้าประเทศใดมีอย่างใดก็มีไว้จำหน่ายหรือไว้ให้ดู โบราณวัตถุและของต่างๆก็นำมาแสดงให้ชม แม้จนกระทั่งอาหารก็มีร้านขายอาหารของประเทศต่างๆ ซึ่งเราได้ไปรับประทานอาหารแปลกๆ เช่นอาหารชวา ฯลฯ เป็นต้น สถานที่สำคัญเช่นนครวัตเขาก็สร้างจำลองขึ้นให้เหมือนของจริง เป็นแต่ขนาดย่อมกว่า ภายในเขต Exposition นี้ใหญ่โตมาก มีรถไฟฟ้าเล็กๆ ให้เช่า มีรถไฟเล็กเดินรอบสถานที่ และมีรถบัสเล็ก (ไฟฟ้า) รับคนโดยสารเดินอยู่ตลอดเวลา เวลากลางคืนงามมาก มีไฟฟ้าสีต่างๆสว่างไสว มีน้ำพุใหญ่เป็นไฟสีและสลับเปลี่ยนสีต่างๆ อยู่ตลอดเวลา มีสถานที่เต้นรำมีที่ให้เช่าเรือพายเล่น มีอะไรต่ออะไรอีกมากมาย นึกขึ้นมาทีใดภาพความงามต่างๆ ที่เคยเห็นมานั้นยังติดตามอยู่เสมอ
        คืนวันหนึ่งเจ้าเบาได โอรสของ Emperor ญวน ได้เชิญกมลา คุณจันทรัต และข้าพเจ้าไปในงานรื่นเริงและเต้นรำที่ Pavilion ญวน ที่ Exposition จึงได้มีโอกาสคุ้นเคยกับเจ้าโอรสญวนองค์นั้นซึ่งเป็นคนชอบสนุก ในค่ำวันนั้นได้มีการแสดงให้ชมหลายอย่าง รวมทั้งละครรำและพิณพาทย์ซึ่งไปแสดงที่ Exposition จากประเทศเขมร ในบรรดาผู้แสดงนี้บางคนพูดไทยได้ด้วย เสร็จจากการแสดงแล้วก็มีเต้นรำอยู่จนดึง

๑๒๖. Ouchy Evian Geneva

       ต้นเดือนกรกฎาคม หมอแนะนำให้ท่านหญิงไปตากอากาศรักษาพระองค์เพราะเป็นโรคเบาหวาน จึงกำหนดจะไปพักที่เมืองอุชี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ติดกับเมืองโลซาน) สัก ๓-๔ วัน แล้วจะเลยไปที่เมืองเอวิออง ในประเทศฝรั่งเศสซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนีวา ตรงข้ามกับอุชีแลเห็นกัน ฝั่งทะเลสาบเยนีวานี้ฝั่งหนึ่งเป็นประเทศสวิตเวอร์แลนด์ อีกฝั่งหนึ่งเป็นประเทศฝรั่งเศส ข้ามฟากโดยเรือก็ราวครึ่งชั่วโมง ที่หมอแนะนำท่านหญิงไปรักษาพระองค์ที่เมืองเอวิออง ก็โดยเหตุที่เมืองนั้นมีบ่อน้ำแร่ สำหรับรับประทานแล้วรักษาโรคได้หลายชนิด
        ครั้นถึงเวลาที่กำหนดก็ได้ออกเดินทางจากกรุงปารีสโดยรถไฟ ไปลงที่โลซานในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่ข้าพเจ้าเคยมาครั้งหนึ่งแล้วโดยรถยนต์ แล้วเราก็ขึ้นรถยนต์ลงเขาต่อไป พักที่โฮเต็ลดูชาโตที่เมืองอุชี ซึ่งอยู่ทะเลสาบเยนีวา โฮเต็ลนี้มีนักเรียนไทยมาเล่าให้ฟังว่าผีดุ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเชื่อเท่าใดนัก แต่ก็ทำเอาใจไม่สู้จะดีเหมือนกัน ทะเลสาบนี้ฝั่งทางด้านประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีเมืองสำคัญหลายเมืองเช่นเยนีวา, โลซาน, มองเตรอ ฝั่งทางประเทศ ฝรั่งเศสมีเมืองสำคัญก็คือเมืองเอวิออง โฮเต็ลที่พักอยู่นี้ใกล้กับท่าเรือที่จะไปรอบทะเลสาบ และข้ามฟากไปเอวิออง ระหว่างพักอยู่ที่นี่สบายใจดี อากาศก็สบาย ได้ไปเดินเล่นตามถนนริมทะเลสาบ และได้ไปเที่ยวในเมืองโลซานหลายครั้ง นอกจากนั้นยังมีท่านทรงวุฒิชัย กับนายเอ็ด ณ ป้อมเพ็ชร เป็นผู้พาไปเที่ยวชมมหาวิทยาลัยและสถานที่ต่างๆ และยังได้ขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวเมืองใกล้เคียงรอบทะเลสาบนั้นเสมอ เช่นมองเตรอ, เยนีวา ฯลฯ เมืองมองเตรอเป็นเมืองตากอากาศที่สวยงาม และสำคัญเมืองหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เหมือนกัน มีผู้คนมาตากอากาศกันมาก มีโฮเต็ลหรูๆ และมีสถานที่หย่อนใจหลายแห่ง ส่วนเมืองเยนีวาเป็นอย่างใดนั้นก็ได้เคยกล่าว ไว้แล้ว
        เราพักอยู่เมืองอุชีได้ ๓-๔ วันก็ลงเรือข้ามไปพักเมืองเอวิออง ไปพักที่โฮเต็ลหรูที่สุด เมืองนี้มีคนมาตกอากาศมากทีเดียว เพราะมีความสำคัญคือมีบ่อน้ำแร่ คนที่ไม่ค่อยสบายหรือเลื่อมใสในบ่อน้ำทิพย์นี้ก็มักจะมารักษาตัวประกอบกับตากอากาศด้วย เราได้ไปชมที่บ่อน้ำนั้น อันที่จริงอากาศที่นี่สบายดีมาก พักอยู่ที่เมืองนี้ได้สองสามวัน ข้าพเจ้ารู้สึกคิดถึงรถยนต์มาก เพราะเท่ากับตัดมือตัดเท้าจะไปเที่ยวที่ใดก็ไม่สะดวก จึงได้ทูลลาท่านหญิงกลับไปเอารถยนต์ของข้าพเจ้าที่ปารีส โดยชวนนายเอ็ด ณ ป้อมเพ็ชร ขึ้นรถไฟไปด้วยพักเที่ยวปารีสด้วยกันหนึ่งคืน พอรุ่งเข้าก็รีบเดินทางกลับมาเมืองเอวิออง เมื่อได้รถมาแล้วก็ได้ไปเที่ยวกันหลายแห่ง เช่นไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำที่เยนีวา และมองเตรอเสมอ ไปโลซาน ขึ้นรถเที่ยวรอบทะเลสาบ ฯลฯ วันหนึ่งนายเอ็ดได้ชวนนางสาวอียิปต์และข้าพเจ้า ไปรับประทานอาหารและเต้นรำที่ Villa Palace ซึ่งเป็นโฮเต็ลหรูอยู่บนภูเขาสูง เราขับรถขึ้นภูเขาไปตลอดทางถึงเมืองนั้นอยู่ในระดับสูงมาก อากาศค่อนข้างเย็นจัด เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็เข้าเต้นรำสักครูใหญ่ๆ แล้วก็เดินทางกลับในเวลากลางคืน ต้องขับรถลงเขาตลอดทาง
        เมืองเอวิอองนี้มีคาซิโนเหมือนกัน เพราะเป็นเมืองตากอากาศ ข้าพเจ้าได้เข้าไปเล่นไพ่หลายครั้งในเวลาว่าง แต่โรงบ่อนนี้เล็ก ผู้คนไม่มากมายนัก และไม่มีคนเล่นที่ร่ำรวย ได้เสียกันวันละหลายหมื่นหลายแสนเหมือนกับที่เมืองนีซ
        เวลาเย็นๆ เรามักจะไปเดินเล่นริมทะเลสาบชมธรรมชาติซึ่งสวยงามมาก กลางคืนบางคืนก็ได้ขึ้นรถยนต์ไปเต้นรำที่มองเตรอ ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๕๐ กิโลเมตร และต้องผ่านด่านภาษีฝรั่งเศส-สวิตเซอร์แลนด์ ให้เขาตรวจ เจ้าพนักงานที่นั้นรู้จักเราดีเพราะเราผ่านบ่อยๆ เลยไม่ต้องตรวจอะไรมากนัก ถนนแล่นไปตามขอบทะเลสาบตลอดทางงามมาก บางตอนถนนก็อยู่ติดกับทะเลสาบ บางตอนอยู่สูงมองดูทะเลคล้ายๆ กับเราจะตกเหว คืนวันหนึ่งข้าพเจ้ากลับจากเต้นรำที่เมืองมองเตรอ ขับรถมาคนเดียวประมาณตีสาม ขับรถมาเร็วเต็มที่ ระหว่างทางที่มานั้นนั่งคิดมาตลอดทางว่าถ้าตะเกียงไฟฟ้าหน้ารถเราดับลงก็เห็นจะตกเหวตาแน่ เพราะถนนคดเคี้ยวอยู่บนภูเขา เราได้อาศัยแสงไฟนี้เท่านั้น แต่ก็ได้มาถึงเมืองเอวิอองโดยสวัสดิภาพภายในระยะเวลา ๔๐ นาทีเท่านั้น
        เราได้พักตากอากาศที่เอวิอองราวสองอาทิตย์ก็ย้ายไปพักที่เยนีวา ที่โฮเต็ลเบลวิวระหว่างพักอยู่เยนีวานี้ได้นำท่านหญิงไปชมสถานที่สำคัญๆ โดยตลอด เช่นสถานที่ของสันนิบาตชาติเป็นต้น สำหรับข้าพเจ้าได้เคยชมตลอดแล้ว นอกจากนั้นเราได้ไปซื้อของฝากประเทศสวิตเซอร์แลนด์นี้เป็นประเทศที่ทำนาฬิกาขายมากที่สุดประเทศหนึ่ง ฉะนั้นในเรื่องหาซื้อนาฬิกาแล้วในประเทศนี้เป็นดีที่สุด มีทุกอย่างทุกชนิดสำหรับทั้งหญิงและชาย และสำหรับตั้ง ทำสวยๆ และที่ราคาถูกก็มีมาก
        เมืองเยนีวานี้ข้าพเจ้าชอบมาก เห็นเป็นเมืองที่สวยงามและน่าอยู่เมืองหนึ่งวันหนึ่งท่านอมร ท่านโกลิต พันธ์เทพ และข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวเมืองชาโมนิกส์และ Mer de glace ในประเทศฝรั่งเศส เราออกแต่เช้ามืดโดยรถยนต์ของข้าพเจ้า ผ่านแดนสวิตเซอร์แลนด์-ฝรั่งเศส ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็ชาโมนิกส์ ซึ่งเป็นเมืองอยู่บนภูเขาสูงอากาศค่อนข้างเย็น แม้จะเป็นหน้าร้อนก็ตาม ภายหลังรับประทานอาหารเช้าแล้วเราได้ไปขึ้นรถรางห้อยขึ้นไปบนยอดเขาอีก ผ่าน Mer de glace (ทะเลน้ำแข็ง) แปลกประหลาดมาก ที่สถานที่นี้ดูเหมือนทะเลใหญ่ไพศาล มีลูกคลื่นเป็นก้อนๆ แต่ก็แข็งเป็นน้ำแข็งทั้งสิ้นสมกับชื่อที่เขาเรียก เมื่อถึงยอดสุดทางของรถรางห้อยสายนี้แล้ว มองลงมาดูข้างล่างเห็นเมืองชาโมนิกส์เกือบสุดสายตา เล็กนิดเดียว อากาศบนยอดเขานี้หนาวจัดมากยังกับดูหนาว เราต้องยืมเสื้อคลุมหนาเขาใส่ เราพักหาอะไรรับประทานสักครู่หนึ่งแล้วเราก็เริ่มเดินทางกลับ ถึงเมืองเยนีวาในค่ำวันนั้นเอง

๑๒๗. ไปลอนดอน

       ปลายเดือนกรกฎาคม (๒๔๗๔) ได้เดินทางกลับกรุงปารีส เมื่อข้าพเจ้าได้ส่งท่านหญิงและคณะขึ้นรถไฟแล้ว ข้าพเจ้าก็ขับรถอย่างเร็วกลับกรุงปารีสไปกับท่านโกลิตความมุ่งหมายก็คือจะให้ไปถึงปารีสก่อนรถไฟ แต่ไปตามทางเกิดสายไฟฟ้าช๊อต ต้องเสียเวลาแก้ไปนาน กระนั้นก็ดีเรายังถึงปารีสพร้อมๆ กับรถไฟ พักอยู่ปารีส ๒ วัน ก็ตามเสด็จท่านหญิงข้ามไปกรุงลอนดอนอีก พักอยู่ลอนดอนสองอาทิตย์เศษ เป็นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้ามากรุงลอนดอน และก็ได้ไปชมสถานที่สำคัญๆ อีหลายแห่ง มีอยู่แห่งหนึ่งที่ควรกล่าวในที่นี้ คือสถานที่โชว์หุ่นของ Madam Tussaud เป็นสถานที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมาก ใครผ่านมากรุงลอนดอนก็ต้องมาชมสถานที่นี้ หุ่นต่างๆทำด้วยขี้ผึ้งเป็นรูปบุคคลสำคัญต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้ นอกจากหุ่นคนสำคัญแล้วยังมีหุ่นหมู่ตอนสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ เรียกว่า Tableau คล้ายกับภาพเขียน แต่แทนที่จะเป็นภาพก็ได้เห็นเป็นตัวคนจริงๆ หุ่นเหล่านี้ทำสนิทมากเหมือนคนจริงๆ บางทีพวกเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าสถานที่เล่นตลกเขาทำยืนนิ่งเป็นหุ่น เราก็ไปยืนชมว่าช่างปั้นนี้เก่งจริง ปั้นได้เหมือนคนเหลือเกิน ยืนมุงดูเป็นหมู่ใหญ่แล้วผู้เล่นตลกก็ยิ้ม พวกเราตกใจแต่แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อชมหุ่นธรรมดาหมดแล้ว ยังมีหุ่นชั้นใต้ถุนอีกเรียกว่า House of Terror การลงไปชมชั้นล่างนี้ต้องเสียค่าผ่านประตูเป็นพิเศษอีก ลงบันไดไปแล้วน่ากลัวมาก ทำเป็นที่มืดๆ มีหุ่นการประหารชีวิตแบบต่างๆ มีหุ่นการทรมานคนด้วยแบบต่างๆ มีหุ่นฆาตกรรมต่างๆ ฯลฯ อะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดเขาก็มาทำหุ่นไว้ให้ชม คนใจอ่อนๆไม่น่าเข้าไปชม แต่สรุปรวมความว่าการเข้าไปชมหุ่นในสถานที่ Madam Tussaud นี้ได้รับความรู้เป็นอย่างดีในทุกๆทาง
        ในระหว่างที่พักอยู่กรุงลอนดอนนี้ บ่ายวันหนึ่งหม่อมเจ้าดำรัสดำรงค์ เทวกุลซึ่งมารับตำแหน่งเป็นราชทูตไทยอยู่ในกรุงนี้ ได้เชิญท่านหญิงและนักเรียนไทยในกรุงนี้มารับประทานน้ำชา และค่ำอีกวันหนึ่งได้เชิญท่านหญิงและข้าพเจ้ามารับประทานอาหารไทยที่สถานทูตอีกด้วย
        ข้าพเจ้าเคยได้ยินเขาเล่าเรื่อชีวิตความหรูของพวกสมาคมชั้นสูงในกรุงลอนดอนมาก จึงอยากไปดูบ้างว่าเป็นอย่างไร ค่ำวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงชวนประจวบน้องสาวไปรับประทานอาหารและเต้นรำ ว่าจะไปที่ๆพวกสมาคมชั้นสูงของกรุงลอนดอนเขาไปกันแม้ว่าจะแพงเท่าใดก็จะสู้ วันนั้นแต่งตัวเสียอย่างโก้ คือข้าพเจ้าแต่งเครื่องราตรีสวมหมวกสูง ถุงมือขาว ประจวบก็แต่งตัวอย่างว่า ผ่านใครๆ ก็ต้องมอง แล้วเราก็ไปสถานที่ซึ่งเรียกว่า "มองซินเยอร์" เป็นสถานที่ที่ Prince of Wales และพวก Society ชั้นสูงไปเที่ยวกันเสมอ พอโผล่เข้าไปหัวบ๋อยก็เข้ามาโค้งเรียกเราเป็น "Excellency" แล้วก็พาไปนั่งโต๊ะสองคน ค่าอาหารที่นี่แพงมาก ระหว่างนั่งรับประทานอาหารและฟังดนตรี ประจวบก็ชี้ให้ดูคนสำคัญที่มาเที่ยวในคืนวันนั้นว่าใครเป็นใครบ้างเท่าที่แกรู้จัก ดนตรีที่เล่นที่นี่ก็คือ Roy Fox and his Orchestra ซึ่งเป็นคณะที่มีชื่อเสียงคณะหนึ่งในประเทศอังกฤษ และเป็นคณะที่อัดแผ่นเสียงเพลงเต้นรำจำหน่ายมาก มีนักร้องสตรีสาวสวยรูปร่างดี ในเวลาที่ข้าพเจ้าออกไปเต้นรำแล้วติดใจที่จะเข้าไปใกล้ๆ ชมความงามในตัวเขา สำหรับการแสดงเบ็ดเตล็ดก็มีอะไรต่ออะไรแปลกๆ และงามๆให้ชม เราได้อยู่ชมการแสดงและเต้นรำจนดึกมาก ค่ำวันนี้เป็นอันว่าเราได้สนุกและได้เห็นสถานที่ night life อันหรูของกรุงลอนดอน

๑๒๘. Luxumbourg, Germany

       กลางเดือนสิงหาคมกำหนดกลับปารีส ข้าพเจ้ามาคิดดูว่าเราก็จะเดินทางกลับเมืองไทยอยู่แล้ว โอกาสที่จะได้ออกมาต่างประเทศเช่นนี้อีกคงไม่มี เราก็มีรถยนต์อยู่แล้วเงินส่วนตัวก็มีพอ น่าจะได้ไปเที่ยวดูประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปที่จะไปได้ เมื่อตกลงใจแล้วจึงได้กราบทูลลาท่านหญิงขอไปเที่ยวส่วนตัวสัก ๓ อาทิตย์ เมื่อท่านอนุญาตแล้วข้าพเจ้าจึงได้ชวนประจวบกับตานิตย์ข้ามไปปารีส และชวนไปเที่ยในทวีปยุโรปโดยรถยนต์ด้วย
        วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๗๔ เวลาเช้าเป็นวันและเวลาที่เราออกเดินทางจากกรุงปารีสโดยรถยนต์ข้าพเจ้า มุ่งไปประเทศเยอรมันนี โดยผ่านประเทศลุกเซมเบิกก่อนออกรถได้รับจดหมายจากบ้านว่า คุณแม่ไม่ค่อยจะสบาย และหมอเป็นห่วงในการเจ็บป่วยของท่านคราวนี้มาก ข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
        การเดินทางของเราพอตกเวลาบ่ายก็ถึงประเทศลุกเซมเบิก เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจหนังสือเดินทางเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อไปในประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศเล็กมากมีเนื้อที่ทั้งสิ้นเพียง ๙๙๙ ตารางไมล์ มีพลเมืองทั้งประเทศสามแสนคน เราขับรถยนต์ ๒ ชั่วโมงก็ทะลุประเทศ และได้ผ่านเมืองหลวงด้วย เมืองหลวงก็น่าเอ็นดู ได้เห็นปราสาทของเจ้าหญิงผู้ครองนคร ประเทศนี้มีเหล็กมาก ใกล้ๆจะเข้าเขตแดนเยอรมันแลเห็นตึกและวัดพังๆ โดยลูกปืนเมื่อคราวสงครามโลก (๑๙๑๔-๑๙๑๘) หรือไม่ก็เป็นตึกสร้างขึ้นใหม่ทีเดียว คือพังเสียจนสิ้นแล้วต้องสร้างขึ้นใหม่
        ตอนเข้าเขตประเทศเยอรมันฝนตกหนัก เราเลยขับรถผ่านด่านภาษีโดยไม่รู้ตัวหลุดเข้าไปอยู่ในประเทศเยอรมันนี ต่อไปก็ถึงแม่น้ำไรน์ และถึงเมือง Mainz ตอนถึงแม่น้ำไรน์สวยมาก ถนนอยู่บนที่สูง มองแลเห็นแม่น้ำและเมืองอยู่ในที่ต่ำ ความงามถึงกับเราต้องหยุดรถลงถ่ายรูป ต่อจากนั้นเราก็ขับรถต่อไปถึงเมืองแฟรงเฟิตเกือบสองทุ่มพักนอนที่นั่น ๑ คืน เมืองแฟรงเฟิตเป็นเมืองใหญ่โตและสะอาดดีมาก อันที่จริงประเทศเยอรมันนีนี้เขาสะอาดทีเดียว เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วเราก็ออกเที่ยวดูเมืองดูชีวิตความสนุกสนานของชาวเยอรมันในเมืองนี้ ซึ่งเราก็ได้ไปร่วมกับเขาเป็นอย่างดีหนทางรถยนต์จากกรุงปารีสถึงเมืองนี้ประมาณ ๔๐๐ ไมล์ ข้าพเจ้าได้ขับคนเดียวตลอดที่ไม่เคยไปจึงหายเหนื่อยแล้ว เมืองแฟรงเฟิตนี้มีตึกสวยงามมาก คือลวดลายของตึกมีสลักงามๆ ไม่ใช่อย่างแบบสมัยใหม่ นอกจากนั้นเขาว่าเป็นเมืองที่มีพวกยิวมาก และมีพวกยิวตระกูลสำคัญอีกด้วย
        เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๗๔ เช้าออกจากแฟรงเฟิตมุ่งไปกรุงเบอร์ลินระยะทางอีก ๔๐๐ ไมล์ เราได้ไปถึงในกรุงเบอร์ลินก่อนสองทุ่ม กรุงเบอร์ลินนี้ใหญ่มากเข้าชานกรุงแล้ววิ่งรถไปอีกเกือบตั้งสองชั่วโมงจึงถึงในกรุง ได้ไปพักที่เซนทราลโฮเต็ล ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟของกรุงเบอร์ลิน รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่ได้เข้ามาถึงกรุงนี้ เพราะเป็นกรุง นอกจากใหญ่โตมากแล้วยังเป็นกรุงที่สำคัญ เป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีเป็นกรุงที่ข้าพเจ้าอยากมาเห็นอยู่นานแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วลงมารับประทานอาหารสักครูหม่อมเจ้าอาทิตย์อุทัย เทวกุล ได้มารับไปเที่ยว สถานที่แรกที่เราไปก็คือโรงเต้นรำเรียกว่า "เฟมีนา" เป็นโรงเต้นรำใหม่ใหญ่และทันสมัย ที่สุด มีโทรศัพท์ตั้งทุกโต๊ะและทุกห้องพิเศษ แล้วมีเบอร์ใหญ่ๆติดโต๊ะและห้องพิเศษนั้น เรามองดูโต๊ะใดหรือห้องใดที่เราพอใจเราก็ต่อโทรศัพท์ไปพูดกับเขาได้ อาจขอเชิญเขาเต้นรำก็ได้ พื้น เต้นรำเลื่อนขึ้นลงได้ เวลามีการแสดงต่างๆ เขาก็เลื่อนพื้นเต้นรำนั้นขึ้น ในเยอรมันก็ดี หรือใน ฝรั่งเศสก็ดี เขาไม่ถือเรื่องคนต่างชาติต่างผิวตามที่เคยเล่ามาแล้ว จึงทำให้เราสนุกสนานยิ่งขึ้นอีก
        ระหว่างพักอยู่เบอร์ลิน ๕ วันนี้ ได้ไปชมพระราชวังที่ปอดสดัมกับคุณหลวงติโรฯ ซึ่งเป็นเลขานุการสถานทูตอยู่ในกรุงนี้ และภรรยาซึ่งเป็นชาวอเมริกัน เราได้คุ้นเคยกันมาตั้งแต่อยู่อเมริกาด้วยกัน พระราชวังนี้ตั้งอยู่ที่เมืองปอดสดัม ระยะทางประมาณ ๑๖ กิโลเมตรจากกรุง เบอร์ลิน เป็นพระราชวังที่ใหญ่โตมาก ส่วนใหญ่ของพระราชวังนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยพระเจ้า Frederick the Great ขนาดของพระราชวังนี้เห็นจะไม่แพ้พระราชวังแวร์ไซส์ ห้องต่างๆ สวยงามและใหญ่โตมากและมีจำนวนนับร้อยห้อง แล้วยังมีโรงละครจุคนประมาณ ๔๐๐ คน อยู่ในพระราชวังนี้อีกด้วย เราได้ไปเดินชมอยู่หลายชั่วโมงเมื่อยอีก แต่ว่าใครไปถึงกรุงเบอร์ลินแล้วต้องไปชมพระราชวังนี้ นอกจากนั้นยังได้ไปชมที่อาบน้ำของชาวเบอร์ลินที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งไม่ห่างจากกรุงนัก เรียกว่า "วันเซ" ชาวเบอร์ลินไปอาบน้ำกันอย่างหนาแน่น มีเรือใบให้เช่าด้วย ได้ไปชมสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเบอร์ลิน เช่น พระราชวัง, มิวเซียม Reichstag, Unter den Linden, อนุสาวรีย์ต่างๆ และสถานที่สำคัญอื่นๆอีกหลายแห่งซึ่งแต่ละแห่งก็มีประวัติโดยเฉพาะ เช่นประตูกลางของ Unter den Linden ก็มีประวัติเดิมว่าไม่มีใครจะลอดใต้ประตูนี้ไปได้นอกจาก Emperor ของเยอรมันเท่านั้น ฯลฯ ผู้พาเราเที่ยวในกรุงนี้มีคุณหลวงติโรฯ และภรรยา และคุณหลวงไพรัช นอกจากนั้นท่านปรีดีเทพพงศ์ซึ่งเป็นราชทูตที่นั้น ได้เชิญรับประทานอาหารที่สถานทูตและที่อื่นๆ และได้พาไปเที่ยวเหมือนกัน เราได้ไปรับประทานอาหาร จีน ญี่ปุ่น ได้ไปชมร้านขายของต่างๆ และซื้อของหลายแห่งราคาไม่สู้แพงนัก ได้ไปเที่ยวตาม Bier Garden คือชาวเยอรมันที่ชอบดื่มเบียร์ ฉะนั้นจึงมีสวนจัดไว้สวยๆ มีโต๊ะสำหรับผู้คนไปนั่งดื่มเบียร์แล้วมีดนตรีเพราะๆฟัง อีกด้วย ได้ไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำที่ Eden Hotel, Roof Garden ซึ่งเป็นที่เต้นรำและรับประทานน้ำชาหรูที่สุดในกรุงนี้ และได้ไปเที่ยวตามสถานที่หรูๆ ต่างๆอีกหลายสิบแห่ง
        กลางคืนได้ไปเที่ยวตามคาบาเรต์ต่างๆ บางแห่งมีผู้หญิงประจำโรงเต้นรำนั้น แต่งตัวเป็นผู้ชายทั้งหมด แล้วทำท่าเป็นผู้ชายจริงๆ ไปเที่ยวขอผู้หญิงที่มาเที่ยวเต้นรำด้วย แล้วบางเวลามีอาการหึงหวงกันเองอีกด้วย เราดูๆแล้วรู้สึกหมั่นไส้ บางแห่งผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาประจำเป็นคู่เต้นรำตามโรงเต้นรำ ทำดัดจริตมาก ข้าพเจ้าทนดูไม่ค่อยไหว ตัวเองเสียงห้าวๆ ทำเสียงเล็กเป็น ผู้หญิง แต่ข้อมือข้อเท้าโต ดูๆไปก็แปลก มีที่หรูใหม่ขึ้นอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า House Fatherland เป็นสถานที่ใหญ่โตมาก ภายในนั้นมีโรงละคร มีห้องเต้นรำหลายสิบห้อง ห้องเต้นรำแต่ละห้องก็ทำเหมือนอย่างเราอยู่ในประเทศหนึ่งๆ หรือสถานที่แห่งหนึ่งๆ เพราะพอโผล่เข้าประตูไปแล้วการตบแต่งภายในห้องนั้นก็ดี คาบาเรต์ก็ดี ทำเป็นของประเทศหรือสถานที่นั้นๆทีเดียว เช่นห้องที่ตอบแต่งเป็นเมืองอียิปต์ เครื่องใช้ต่างๆสำหรับรับประทานอาหารรวมทั้งวิธีชงกาแฟก็ทำเหมือนอย่างเราอยู่ในกรุงไคโร ออกจากห้องนี้เราไปยังห้อง "อเมริกันตะวันตก" ห้องนี้แม้พวกเล่นดนตรีก็แต่งตัวเป็น Cowboy แล้วเราก็ไปเข้าห้อง "จีน" ห้อง "ฝรั่งเศส" ห้อง "อิตาลี" ฯลฯ แต่ละห้องก็มีอะไรงามๆ แปลกๆให้ชม เพลิดเพลินดีมาก
        ค่ำอีกวันหนึ่งคุณหลวงติโรฯ เชิญไปรับประทานอาหารในสถานที่แห่งหนึ่งงามเป็นที่สุด ภายในสถานที่นี้ทำเป็นสวนมีศิลาใหญ่เล็ก มีลำธารเล็กน้อย มีปลาเงินปลาทองขนาดต่างๆ มากมาย แล้วโต๊ะอาหารเราก็ตั้งอยู่ริมเฉลียง มองดูวิวอันสวยงามที่เขาตบแต่งขึ้นให้เป็นธรรมชาติ สถานที่นี้เป็นที่รับประทานอาหารที่หรูของกรุงเบอร์ลินแห่งหนึ่ง อีกวันหนึ่งได้ไปดูภาพยนตร์เยอรมัน ไม่ค่อยเข้าใจ กลางวันๆ หนึ่งเราได้ไปชมที่สถานที่แห่งหนึ่ง เขากำลังมีการแสดง อุตสาหกรรมการประดิษฐ์ของเครื่องใช้ต่างๆมากมาย มีทุกอย่างทุกชนิด เราได้ชมเสียอย่างเพลิน ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันเราขึ้นลิฟต์ขึ้นไปรับประทานบนยอดหอสูงของบริษัทส่งวิทยุเทเลฟุงเคน สูงจากพื้นดินหลายร้อยฟิต เป็นหอโครงเหล็ก จำได้ว่าเวลาลมพัดจัดๆที่เรารับประทานอาหารนี้ก็รู้สึกโยกเยก เล่นเอาใจไม่ค่อยจะดีเหมือนกัน แต่เชื่อความสามารถนายช่างเยอรมันว่าคงจะไม่ปลูกสร้างอะไรให้พังลงมาได้ สรุปรวมความว่า ๕ วันในกรุงเบอร์ลินนี้สนุกสนานเพลิดเพลินคุ้มค่าและได้รับความรู้เป็นอันมาก
        สำหรับสถานทูตสยามที่กรุงเบอร์ลินนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสวยงามดีกว่า สถานทูตสยามในประเทศอื่นๆ มองดูจากข้างนอกสง่ามากและอยู่ในตำบลที่ดีด้วย
        ในระหว่างที่พักอยู่กรุงเบอร์ลินนี้ ข้าพเจ้าได้เช่ารถยนต์ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ตามที่เล่ามาแล้ว ส่วนรถของเรานั้นให้มันพักเสียที รวมทั้งได้พักตัวข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนขับด้วย เพราะยังจะต้องขับเดินทางต่อไปอีกไกลมาก ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นคนขับรถเช่านั้นหน้าตามีรอยแผลใหญ่ๆหลายแผล จึงได้เกิดไต่ถามถึงชีวิตของเขา เขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อคราวมหาสงครามเขาได้ออกไปรบและถูกกระสุนปืนถึง ๓ ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อรักษาตัวหายแล้วก็ต้องออกไปแนวหน้าอีก ชีวิตจิตใจเวลานั้นแทบจะเป็นบ้า และกล่าวต่อไปอีกว่าหากจะมีสงครามเกิดขึ้นอีก ก่อนที่เขาจะถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหาร เขาขอยิงตัวตายเสียก่อนเพราะเข็ดสงครามจริงๆ
        เรื่องที่เราต้องลำบากมากในกรุงเบอร์ลินนี้มีอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องที่เราผ่านด่านภาษีเข้ามาในประเทศเยอรมนีนี้ โดยเจ้าพนักงานภาษีของเขาไม่ได้ตรวจที่ด่านพรมแดนคือการเดินทางโดยรถยนต์ไปประเทศต่างๆในยุโรปนั้น เขาให้มีสมุดประจำรถเล่มหนึ่งจะเข้าประเทศใดแล้ว เจ้าหน้าที่ด่านภาษีที่พรมแดนเมื่อเขาตรวจเรียบร้อยแล้ว เขาก็ฉีกปลายขั้วแล้วเซ็นชื่อไว้ที่ต้นขั้ว แต่เมื่อเราผ่านด่านภาษีโดยไม่ได้ผ่านเจ้าหน้าที่ก็แปลว่าสมุดประจำรถนั้นยังไม่ได้ถูกฉีกปลายขั้ว และยังไม่มีใครเซ็นรับรองที่ต้นขั้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าเราจะออกจากประเทศเยอรมันนีไม่ได้ เจ้าหน้าที่สถานทูตเราต้องช่วยพาข้าพเจ้าไปกระทรวงต่างประเทศ ไปกรมศุลกากร เจ้าหน้าที่ก็แปลกใจว่ารถผ่านด่านเข้ามาได้อย่างใดเลยเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเสียเวลาไปพบเจ้าหน้าที่ต่างๆ หลายครั้งหลายคราวกว่าเขาจะสลักหลังอนุญาตให้เดินทางต่อไปได้

๑๒๙. Czecho Slovakia

       วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๖๔ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เราออกเดินทางจากกรุงเบอร์ลินต่อไปยังกรุงปราค ในประเทศเชคโกสโลวาเกีย หยุดรับประทานอาหารกลางวันที่เมืองเดรสเดน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และสำคัญในประเทศเยอรมันนีเมืองหนึ่ง ตั้งอยู่บนสองฝั่งของแม่น้ำเอลป์ เมืองนี้มีตึกใหญ่ๆ และงามๆ มาก และเป็นเมืองสำคัญในทางศึกษาในทางศึกษาด้วย มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนดีๆ โรงเรียนทางดนตรีก็เป็นที่ยกย่อง นอกจากนั้นยังเป็นเมืองที่ทำ porcelain สวยๆ ตอนบ่ายออกเดินทางต่อไปถึงกรุงปราคตอนเย็น ก่อนถึงกรุงนี้ในระหว่างขับรถมา พวกเรามีควมฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอันมาก เพราะกรุงนี้เราทราบว่าเขาเรียกกันว่าปราค มาถึงเมืองหนึ่งมีป้ายบอกทางไปเมืองหลวงว่า ปราฮา สอบสวนดูก็คงได้ความว่าปราฮาเขาก็เรียกเหมือนกัน ต่อไปอีกเมืองหนึ่งเราเห็นป้ายบอกทางไปเมืองปราฮีสอบสวนก็คงได้ความอีกว่าปราฮีเขาก็เรียกเหมือนกัน กรุงปราคนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศเชคโกสโลวาเกีย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำมอลดาว บ้านเมืองสวยงามน่าดูแต่ไม่สู้จะโตนัก พอเราได้ที่พักแล้วก็ตั้งต้นออกชมเมือง มีถนนสายหนึ่งรูปร่างคล้ายๆกับถนนชองล์เอลิเซส์ในกรุงปารีส เป็นแต่เล็กและสั้นกว่าเท่านั้น ตอนกลางคืนเราได้ไปเที่ยวตามคาบาเรต์ต่างๆสนุกพอใช้ ได้สังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งว่าตามโรงเต้นรำต่างๆ มีพวกผู้ชายแก่ๆ มาเที่ยวกันมาก แล้วนั่งเป็นกลุ่มๆ ดูคาบาเรต์ เรามานึกๆดูว่าจะเป็นธรรมเนียมของเมืองนี้ว่าพวกชายแก่ๆ ต้องไปหย่อนสมองกันเช่นนี้ หรือว่าแกจะบอกเมียแกว่าไปประชุมกิจการค้าอันสำคัญ แล้วก็ไปสนุกกันดังนี้
        รุ่งขึ้นเราจ้างผู้นำทางคนหนึ่งให้พาดูสถานที่ต่างๆ เขาพาชมดูทุกแห่งตลอดจนพาไปชมสระอาบน้ำสร้างขึ้นใหม่นอกกรุงออกไปเล็กน้อย ตั้งอยู่บนยอดของภูเขาหินเตี้ยๆ เขาจัดทำสวยมาก เป็น fashionable place ของเมืองนี้ เราได้ไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำที่นั้น สถานที่เต้นรำจัดทำเป็นห้องกระจก ตกกลางคืนเราก็ออกชมสถานที่ต่างๆอีก รู้สึกว่าชีวิตของคนในเมืองเหล่านี้เขาสนุกเพลิดเพลินกันดีจริงทั้งหนุ่มสาวและแก่
        ประเทศเชคโกสโลวาเกียนี้เขามีภาษาของเขาเอง และเป็นภาษาที่ฟังแปลกมาก เช่นคำว่า "จ๊ะ" เขาว่า "เน" ซึ่งฟังๆดูคล้ายๆกับคำว่า "โน" เราฟังแล้วน่าฉงน คำเรียกบ๋อยเดินโต๊ะฟังแล้วคล้ายๆ กับจะขากเสลด คือลงเสียงหนักว่า "วราคนี" ดังนี้

๑๓๐. Austria

       วันที่ ๒๗ เช้า ออกจากกรุงปราคไปกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ซึ่งเราไปถึงเวลาเย็น ตอนเข้าเขตแดนประเทศออสเตรียนี้อยู่ข้างลำบากสักหน่อยเพราะครึ่งหนึ่งของประเทศนี้รถยนต์ขับทางซ้ายมือ อีกครึ่งหนึ่งขับทางขวามือ พอเข้าเขตเขาก็แจกแผนที่ประเทศซึ่งเป็นสีดำตอนหนึ่ง ขาวตอนหนึ่ง แสดงให้เห็นชัดว่าสีขาวให้เดินขวา สีดำให้เดินซ้าย แล้วเราต้องคอยดูป้ายอีกด้วย ข้าพเจ้าต้องขับรถด้วยความฉงนสนเท่ห์อยู่นาน เช่นบางตอนที่เราไม่แน่ใจพอจะสวนกับรถใครเราก็ต้องวิ่งช้าๆ กลางถนนดูว่าเขาจะแอบไปทางไหน ถ้าเขาแอบไปทางใดเราก็พอรู้ว่าทางของเราทางใด หรือเวลาจะขึ้นหน้ารถใครเราก็บีบแตร เขาหลบทางใดก็แปลว่าให้เราขึ้นอีกทางหนึ่ง การขับรถอย่างนี้ออกจะอยู่ในที่อันตรายสักหน่อย
        กรุงเวียนนานี้เป็นกรุงที่มีชื่อเสียงมานานแล้วว่าหรูและเก๋ที่สุด เราได้ไปพักอยู่ที่โฮเต็ลเมโตรโปล อยู่ริมแม่น้ำดานูบ ซึ่งแม่น้ำนี้เราได้ยินชื่อและอยากเห็นมานานแล้ว เนื่องจากที่ได้ยินได้ฟังเพลงซึ่งเพราะจับอกจับใจคือเพลง Blue Danube แต่เมื่อเห็นแม่น้ำเข้าจริงๆ แล้วรู้สึกว่าเพลงเพราะกว่าความงามของแม่น้ำ สำหรับเมืองนี้ที่อยากเห็นมากก็เพราะภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ชอบทำเกี่ยวกับเมืองนี้ และแสดงให้เห็นถึงความหรูหรา คือในด้านสวยงามของเมืองและในด้านชีวิตว่าสนุกสนานเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความหรูในพระราชสำนักครั้งกระโน้น นอกจากนั้นก็ทราบกันอยู่แล้วว่าโยฮันสเตร๊าช์ผู้แต่งเพลงเวียนนีซวอลต์ซที่มีชื่อเสียงที่สุดก็เกิดที่เมืองนี้ จึงเป็นที่สำคัญสำหรับเพลงต่างๆอีกด้วย ระหว่างพักอยู่กรุงเวียนนา ๓ วันนี้ได้ไปชมสถานที่ต่างๆ เช่น House of Parliament, Opera House, Town Hall, มิวเซียม พระราชวังเก่า มหาวิทยาลัย ฯลฯ และยังได้ไปชมพระราชวังเชินบรุนซึ่งสวยงามและใหญ่โตมาก ประวัติของพระราชวังนี้มีอยู่ว่า Emperor Maximilian II ได้สร้างขึ้นเป็น Hunting Lodge เมื่อประมาณ ค.ศ.๑๕๗๐ แล้วถูกทำลายโดยพวกฮังกาเรียน ต่อมา Emperor Matthias สร้างขึ้นใหม่เมื่อ ค.ศ.๑๖๑๘ แล้วก็ถูกทำลายโดยพวก Turks Emperor Leopold I เป็นผู้สร้างพระราชวังที่อยู่บัดนี้เมื่อ ค.ศ.๑๖๙๖ และก็เป็นที่อยู่ของ Emperors ต่างๆ ตลอดมา พระราชวังนี้มีห้องถึง ๑,๕๐๐ ห้อง มีสวนต้นไม้สวยงามและใหญ่โตมากนัยว่าตั้ง ๗๐๐ เอเคอร์ พระราชวังนี้นโปเลียนเคยมายึดอยู่พักหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นจับ Dake of Reichstadt เป็นเชลย เราเดินชมพระราชวังนี้เสียจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก รู้สึกว่าสมัยกระโน้นประเทศที่มีอำนาจวาสนาและมีอิทธิพลมากคงจะมีการแข่งขันกันในเรื่องพระราชวัง คือประเทศฝรั่งเศสก็มีพระราชวัง "แวไซลส์" ประเทศเยอรมันนีก็มีพระราชวัง "ปอตสดัม" และประเทศออกเตรียก็มีพระราช "เชินบรุน" ซึ่งแต่ละแห่งใหญ่โตรโหฐานไม่แพ้ซึ่งกันและกัน
        วันหนึ่งเราได้ขึ้นรถยนต์ไปที่สวยบาเดน-บาเดน ซึ่งมีบ่อน้ำแร่สำคัญ ที่นี่อยู่ห่างจากกรุงเวียนนา ๑๗ ไมล์ เราได้ไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำในที่หรูแห่งหนึ่งอีกคืนหนึ่งเราได้ไปดูละครซึ่งไม่เข้าใจเรื่องเลย แต่อยากดูความสวยงามของภายในโรงละครและอยากดูคนแต่งตัวงามๆ ไปดูละครอีกด้วย เราได้ชมเมืองอันสวยงามนี้โดยตลอด ในเวลากลางคืนเราได้ไปเที่ยวตามคาบาเรต์ต่างๆ หลายแห่ง เพลิดเพลินและสนุกสนานดีมาก ระหว่างพักอยู่ที่โฮเต็ลนี้คืนหนึ่งได้รับโทรเลขจากเมืองไทยซึ่งส่งต่อมาจากสถานทูตไทยในปารีส มีใจความว่ามารดาเจ็บมาก ถ้ารีบกลับเมืองไทยได้ก็ขอให้รีบกลับ ซึ่งประจวบและข้าพเจ้าตกใจมาก แต่การรีบกลับนั้นไม่มีประโยชน์เพราะได้ซื้อตั๋วเรือที่จะกลับภายในสองอาทิตย์เศษนั้นเองแล้ว และจะต้องนำพระอัฐิเสด็จในกรมกลับด้วย
        ในประเทศออสเตรียพลเมืองพูดภาษาเยอรมัน

๑๓๑. Hungary

       วันที่ ๓๐ สิงหาคม ออกจากกรุงเวียนนาไปกรุงบูดาเพสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการี ระยะทางไม่สู้ไกลนัก ประมาณ ๑๖๐ ไมล์ รถยนต์วิ่ง ๕ ชั่วโมงเท่านั้น มีหลายตอนที่ถนนควบไปกับแม่น้ำดานูบ สวยมาก พอถนนมาพบแม่น้ำที่ใด ข้าพเจ้าก็อดฮัมเพลง Blue Danube ไม่ได้เลยจนครั้งเดียว รู้สึกสบายใจมาก แม่น้ำดานูบนี้เป็นแม่น้ำใหญ่และยาวเป็นที่ ๒ ในทวีปยุโรป มีระยะยาวถึง ๑,๗๗๐ ไมล์ ตั้งต้นในประเทศเยอรมันนีไปผ่านประเทศออสเตรีย ฮังการี ยูโกสลาเวีย รูเมเนีย แล้วออกทะเลดำ
       เมื่อถึงกรุงบูดาเพสต์แล้วเราได้ไปพักที่แกรนด์โฮเต็ลโรแยล กรุงนี้แม่น้ำดานูบผ่านกลางเมืองเช่นเดียวกับกรุงเวียนนา มีสะพานยาวข้ามแม่น้ำ ๖ สะพาน ตามประวัติมีอยู่ว่าฝั่งหนึ่งเดิมชื่อบูดา อีกฝั่งหนึ่งชื่อเพสต์ เมื่อรวมกันแล้วจึงเรียกว่าบูดาเพสต์ เป็นเมืองที่ใหญ่และสวยงามมาก ยิ่งเวลากลางคืนขึ้นรถไปขนเขาทางฝั่งบูดา มองลงมาดูแม่น้ำดานูบและบ้านเมืองฝั่งเพสต์แล้วสวยมากทีเดียว แลเห็นไฟสว่างไสวสุดสายตา ระหว่างที่เราพักอยู่ ๓ วันได้ชมสถานที่สำคัญตลอดหมด เช่นพระราชวังใหญ่โตมาก ตั้งอยู่บนเนินเขาทางฝั่งบูดา House of Parliament, Town Hall, National Theatre ฯลฯ เป็นต้น ส่วนทางชีวิตสนุกสนานก็ได้ไปเที่ยวตามคาบาเรต์ต่างๆ หลายแห่ง รู้สึกว่าครึกครื้นกว่ากรุงเวียนนาเสียอีก ผู้หญิงก็สวย มีคาบาเรต์แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนเกาะชื่อเซนต์มากาเร็ตกลางแม่น้ำดานูบ เป็นสถานที่สวยงามและสนุกสนาน ตอนเย็นมีรับประทานน้ำชาและเต้นรำมีผู้คนมากันมาก รถยนต์จอดเป็นแถวทีเดียว ตอนกลางคืนก็เป็นสถานที่เต้นรำหรูที่สุด เราได้ไปที่นี่ทั้งเวลาเย็นและกลางคืน ที่สนุกอีกแห่งหนึ่งก็คือ Amusement Park มีรถเหาะ มีเรือตูม มีการเล่นอื่นๆ อีกหลายอย่าง นับว่าสนุกสนานพอใช้
        เวลารับประทานอาหารที่โฮเต็ลมีดนตรีฮังกาเรียนบรรเลง เครื่องดนตรีที่เล่นก็เหมือนกับขิมของเรานี้เอง เพราะดีเหมือนกัน เวลาเย็นๆไปรับประทานน้ำชาในที่ต่างๆ ที่มีดนตรีหรือมีเต้นรำ ข้าพเจ้าชอบเมืองบูดาเพสต์นี้มาก เมืองนี้มีพลเมืองล้านกว่า ตาแก่คนนำทางได้บอกเราว่าสะพานเอลิซาเบซข้ามแม่น้ำดานูบนี้เป็นสะพาน suspension ที่ยาวที่สุดในโลก และบอกเราสักสิบครั้งจนข้าพเจ้าจำได้ขึ้นอกขึ้นใจ
       ประเทศฮังการีนี้ รู้สึกว่ามีเมืองใหญ่มากอยู่เมืองเดียวคือกรุงบูดาเพสต์นี้ คล้ายกับประเทศเราคือมีแต่กรุงเทพฯ ผู้คนนอกเมืองหลวงแล้วรู้สึกว่ายากจนมาก เครื่องแต่งตัวก็ขาดๆ วิ่นๆ รองเท้าก็ไม่ใส่ ดูเหมือนกับพวกยิปซีนี้เอง พวกฮังกาเรียนนี้เขามีภาษาของเขาเอง

๑๓๒. Budapest-Paris

       วันที่ ๒ กันยายน ๒๔๗๔ ออกจากรุงบูดาเพสต์ แต่ชั้นเดิมหมายจะผ่านไปทางเมืองซาเกรบในประเทศยูโกสลาเวีย แล้วไปผ่านเมืองเวนีชในประเทศอิตาลี แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ คือหนึ่งเป็นห่วงอาการป่วยของมารดาทางกรุงเทพฯ สองเวลาก็เหลือน้อยเต็มทีจะต้องรีบกลับกรุงปารีส และสามทุนทรัพย์ก็เหลือน้อยมากแล้วเดี๋ยวจะเกิดไม่พอขึ้น จึงตกลงใจกันว่าจะรีบเดินทางกลับปารีสโดยทางใกล้ที่สุด จึงกลับมาทางกรุงเวียนนาและเดินทางต่อไป ซึ่งได้ไปพักที่เมืองสินซ์ในประเทศออสเตรียที่แกรนต์โฮเต็ล เดอ ยุโรปเมืองนี้อยู่ห่างจากกรุงเวียนนาประมาณ ๑๐๐ ไมล์ และเป็นเมืองขนาดย่อมหน่อย ไม่สู้จะมีอะไรหรือสนุกสนานมากนัก
       วันที่ ๓ กันยายน ออกจากเมืองสินซ์เช้า เข้าเขตแดนเยอรมัน ถึงเมืองมูนิค กลางวันรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น เสร็จแล้วเที่ยวดูเมืองพอสมควร เพราะเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่และสำคัญเมืองหนึ่งของเยอรมัน ตึกที่ใหญ่และงามมากก็คือ Court of Justice, Town Hall และมิวเซียม ตอนบ่ายเดินทางต่อไปผ่านเมืองอัลม ทั้งเมืองสินซ์และเมืองอัลมนี้แม่น้ำดานูบผ่านทั้งคู่ พอค่ำถึงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในประเทศเยอรมนีจำชื่อไม่ได้เลยพักแรมที่นั่น
        วันที่ ๔ กันยายน ออกเดินทางแต่เช้า เข้าเขตแดนฝรั่งเศสที่เมืองสตราสเบิกก่อนถึงเมืองต้องข้ามสะพานยาวข้ามแม่น้ำไรน์ เมืองนี้ถูกโอนกลับไปกลับมาระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศส ใครชนะสงครามเมืองนี้ก็ตกไปเป็นของประเทศนั้น สงครามที่แล้วมาฝรั่งเศสชนะก็ตกมาเป็นของฝรั่งเศสในขณะนี้ เราเดินทางต่อมาผ่านเมืองนองซี, โชลอง แล้วเข้ากรุงปารีสเลย ระยะทางวันนี้ยาวมาก
        การเดินทางไปเที่ยวประเทศต่างๆ ๑๗ วันนี้ ข้าพเจ้าได้ขับรถคนเดียวตลอดทางมีความลำบากมากๆ อยู่สองประการ คือ หนึ่งเวลาขับรถเดินทางไกลในเวลาที่เหน็ดเหนื่อยแล้วทำให้ง่วงนอนมาก รถกำลังวิ่งเร็วๆ ถ้าเราโงกไปพริบเดียวเท่านั้น เราทั้งหมดอาจต้องลาโลกก็ได้ วิธีแก้เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้ซื้อช็อกโกเลตมาแท่งหนึ่งทุกๆ วัน แล้วอมและเคี้ยวไปตลอดทาง ความลำบากข้อสองคือเวลาผ่านต่างๆ แล้วเราไม่รู้ทางเข้าเมืองและทางออกจากเมือง รถก็สับสนกันมาก กฎจราจรแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกันเดี๋ยวถนนนี้ให้เดินขึ้นทางเดียว เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายไม่ได้ต้องเลี้ยวแต่ทางขวา เดี๋ยวอ้อมป้อมเดี๋ยวไม่อ้อม ว่ากันไปให้นุงทีเดียว เราต้องคอยสังเกต ต้องคอยระวังทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็นับว่าเคราะห์ดีมาก เพราะไม่ได้เกิดอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดเลย

๑๓๓. มารดาถึงแก่กรรม (๒๔๗๔)

       รถยนต์ถึงหน้าสถานทูตราวสองทุ่มเศษ สิ่งแรกที่ทำก็คือวิ่งไปดูหนังสือหรือโทรเลขทันทีว่าจะมีอะไรบ้าง พบโทรเลขมาคอยอยู่ ๒ วันแล้วว่ามารดาได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒ กันยายน เวลา ๑๐.๐๖ นาฬิกา เราเศร้ากันมาก ตรงไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านจีนที่ Quatier Latin แต่ก็รับประทานกันไม่ได้ และคืนนอนไม่หลับทั้งๆ ที่เหนื่อยมาตลอดวัน คิดถึงคุณแม่ ไม่นึกเลยว่าท่านจะด่วนไปโดยรวดเร็วอย่างนี้ เมื่อข้าพเจ้าออกมาจากกรุงเทพฯ ท่านก็ยังแข็งแรงและสบายดีเป็นปกติ จากท่านมาเพียงปีเดียวเท่านั้นท่านก็ลาโลกไปโดยมิได้ให้โอกาสให้เราเห็นใจท่าน
        สำหรับบุตรของท่านไม่เคยอยู่พร้อมหน้ากันเลยตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๔ คือ ๒๐ ปีมาแล้ว เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ คุณประพาศกับคุณประสบไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ พ.ศ.๒๔๕๙ คุณประสบป่วยกลับมากรุงเทพฯ พ.ศ.๒๔๖๐ คุณประสบกับข้าพเจ้าไปประเทศอเมริกา พ.ศ.๒๔๖๒ คุณประสาทไปประเทศอเมริกา ประวัติไปประเทศอังกฤษ พ.ศ.๒๔๖๔ คุณประพาศกลับ พ.ศ.๒๔๖๖ คุณประสบกลับ พ.ศ.๒๔๖๘ ข้าพเจ้ากลับ พ.ศ.๒๔๖๙ ประจวบไปประเทศอังกฤษ คุณประสาทกลับ พ.ศ. ๒๔๗๓ ข้าพเจ้าไปทวีปยุโรปประวัติกลับ เข้าๆ ออกๆ กันอยู่อย่างนี้ ไม่เคยอยู่พร้อมหน้ากันเลย
        มารดาข้าพเจ้าเกิดอยู่ในตระกูล ณ ป้อมเพ็ชร เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๑๑ เป็นบุตรีคนโตของพระยาชัยวิชิต (นาค) ท่านได้แต่งงานกับบิดาข้าพเจ้าเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ ในปลายปีนั้นเองพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บิดานำเสด็จเจ้านาย ๔พระองค์ คือกรมพระจันทบุรีนฤนาถ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมหลวงปราจีนกิติบดี กรมหลวงนครไทยศรีสุรเดช ไปศึกษาวิชา ณ ประเทศยุโรป และให้บิดาข้าพเจ้าไปสอนภาษาไทยและเป็นพระพี่เลี้ยงทั้ง ๔ พระองค์ กับให้ทำงานในหน้าที่เลขา- นุการสถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอนด้วย มารดาข้าพเจ้าจึงได้ตามไปอยู่ ณ กรุงลอนดอน ท่านได้อยู่ในยุโรปถึง ๖ ปี มีบุตรเกิดในกรุงลอนดอน ๒ คน คนโตคือพระยาสุขุมนัยวินิจ พี่ชายคนใหญ่ของข้าพเจ้า เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๒ คนที่สองเป็นหญิงชื่อไสว ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุไม่กี่ขวบ คือเมื่อ กลับมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ สำหรับผู้หญิงไทยมีน้อยคนที่ได้มีโอกาสไปต่างประเทศในเวลานั้น นอกจากนั้นท่านยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้า Queen Victoria ในเวลาที่บิดาข้าพเจ้าเป็นอุปทูตอยู่ที่กรุงลอนดอน อีกด้วย ขณะนั้นนอกจากเจ้านาย ๔ พระองค์ที่กล่าวข้างต้นแล้วยังมีอีก ๒ พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ และกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งได้ตามออกไปยุโรปภายหลัง บิดามารดาของข้าพเจ้าได้ช่วยดูแลมารดาข้าพเจ้าได้มีโอกาสคุ้นเคยและช่วยเหลือทุกๆ พระองค์ และได้สนิทชิดเชื้อกันตลอดมา เมื่อกลับมาเมืองไทยแล้ว ท่านก็ได้ทำบุญอย่างมากมายในทุกๆ ทางคือในทางศาสนาได้ทะนุบำรุงวัดและพระ ได้สร้างกุฏิ ฯลฯ ทางโรงพยาบาลได้บำรุงโรงพยาบาล ได้สร้าง ส่วนประกอบโรงพยาบาล และได้เป็นสมาชิกสภากาชาดสยามเป็นเวลาหลายปี ส่วนในทางโรงเรียนนั้นได้จัดตั้งโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้า หรือเด็กที่จน ซึ่งท่านได้เป็นผู้จัดการตลอดมาเป็นเวลานานตั้งสิบๆปี
        มารดาข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาโอบอ้อมอารี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นึกถึงผู้อื่นก่อน เป็นผู้มีอารมณ์เย็น และเป็นที่น่านับถือของผู้ที่มารู้จักมักคุ้น รวมอายุท่านได้ ๖๓ ปีบุตรของท่านทั้งสิ้นมีจำนวน ๑๐ คน คือ ๑. พระยาสุขุมนัยวินิจ (สวาสดิ์) ๒. ไสว (ถึงแก่กรรม) ๓. แปลก (ถึงแก่กรรม) ๔. หลวงพิสิฐสุขุมการ (ประพาศ) ๕. พระพิศาลสุขุมวิท (ประสบ) ๖. ประสาท ๗. ข้าพเจ้า ๘. ประวัติ ๙. เล็ก (ถึงแก่กรรม) ๑๐. ประจวบ

๑๓๔. เตรียมตัวกลับประเทศไทย และเรื่องเบ็ดเตล็ด

       รุ่งขึ้นวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๗๔ ส่งตานิตย์กลับอังกฤษโดยเรือบิน วันที่ ๖ ส่งประจวบกลับรถไฟสาย Golden Arrow ระหว่างวันที่ ๖ ถึง ๑๕ กันยายนนี้ ยุ่งแต่เรื่องตั๋วเรือ ซื้อข้าวของเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ นอกจากนั้นยังต้องลาพวกเพื่อนๆ ที่ได้มารู้จักชอบพอกันหลายคน ได้ขายรถยนต์คืนให้แก่ร้าน วันหนึ่งแอลเลียตบอนเนได้ขับรถยนต์ของเขามารับข้าพเจ้าที่สถานทูตแล้วพาไปเที่ยวบ้านหน้าร้อนของเขาที่ติเม รับประทานอาหารเย็นแล้วก็คุยกันอยู่จน ๔ ทุ่ม เขาก็พาไปส่งสถานีรถไฟ แล้วข้าพเจ้าจับรถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับปารีส

สรุปรวมความว่า ในการที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตามเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ ไปต่างประเทศคราวนี้ ต้องนับว่าเป็นโชคดีของข้าพเจ้าอย่างยิ่งหลายประการ คือ

. จริงอยู่ แม้จะต้องมีภาระหนัก ต้องรับใช้สอยอยู่อย่างใกล้ชิด และเหน็ดเหนื่อยมากตลอดเวลาที่ท่านยังมีพระชนม์อยู่ แต่ก็เท่ากับ เป็นการฉลองพระเดชพระคุณที่ท่านได้มีแก่ตัวข้าพเจ้า บิดาเคยสั่งสอนข้าพเจ้าเสมอให้นึกถึงบุญคุณของคนที่เขาทำคุณไว้ให้แก่เรา ให้มีความกตัญญู ข้าพเจ้าจำไว้เสมอ ฉะนั้นการรับใช้ของข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงความเหน็ดเหนื่อย ท่านจึงได้โปรดปรานและเป็นห่วงข้าพเจ้ามาก ที่ทราบว่าโปรดก็เพราะท่านได้ชมเชยความดีไว้กับคนหลายคนและข้าพเจ้าจะห่างไปไหนไม่ได้ และที่ทราบว่าเป็นห่วงนั้นมีเรื่องตัวอย่างดังนี้ เช่นเช้าวันหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกมึนศีรษะและไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้ลุกขึ้น ท่านเห็นหายไปก็ถามถึง ก็มีคนกราบทูลว่าไม่สบาย ท่านก็ยุ่งจะให้ไปตามหมอที่ดี จะให้นางพยาบาลมาประจำอยู่ด้วย ข้าพเจ้าพอรู้ข่าวก็เลยต้องหายป่วย ดังนี้เป็นต้น
. การตามเสด็จเจ้านายใหญ่โตเช่นนี้ เราได้มีโอกาสได้รับการรับรองอย่างดีทุกอย่าง ได้พบปะคนชั้นสูงทุกแห่ง ได้ถูกนำเที่ยวได้ดูและได้ไปในสถานที่ชั้นสูง ได้เห็นของดีๆ ซึ่งถ้าเราไปส่วนตัว หรือไปในราชการในฐานะตัวเราเองจะไม่ได้ผ่านสิ่งเหล่านี้
. ได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศต่างๆ อย่างเปิดหูเปิดตา คือนอกจากได้ตามเสด็จไปหลายๆ ประเทศแล้ว ยังได้มีโอกาสขับรถยนต์ส่วนตัวไปในประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ สเปน ลุกเซมเบิก เยอรมันนี เชคโกสโลวาเกีย ออสเตรีย ฮังการี อีกด้วย การที่ได้เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวเช่นนี้ได้รู้จักและเห็นประเทศต่างๆ เป็นอย่างดี เพราะจะหยุดที่ไหนก็ได้แล้วแต่เรา และเชื่อว่าคนไทยน้อยคนได้มีโอกาสอย่างดีนี้
. มีอีก ๒ อย่าง ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้เป็นอย่างดีและสนุกสนานหาที่เปรียบยาก คือ ในขณะนั้นอายุข้าพเจ้าระหว่าง ๒๖-๒๗ ซึ่งอยู่ในวัยที่เป็นผู้ใหญ่ที่จะสังเกตการณ์ความเป็นไปของทุกประเทศที่เราได้ผ่านไปทุกๆ ทาง นอกจากนั้นเราได้รับราชการมาเป็นเวลา ๕ ปีแล้ว จึงสนใจในเรื่องต่างๆ ที่เราควรได้ทราบ เพื่อเป็นแนวความคิดในการที่จะรับราชการต่อไป และ สอง มีเงินใช้จ่ายได้อย่างสบาย จึงได้เที่ยวมากและได้ไปในที่ดีๆ หรูๆ ได้เห็นชีวิตความเป็นไปของประชาชนในประเทศต่างๆ ในทุกๆทาง
. ได้มาอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเกือบหนึ่งปีเต็ม ได้มีโอกาสเรียนภาษาฝรั่งเศสได้รู้ขนบธรรมเนียมและประเพณีของฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังเคราะห์ดีที่บังเอิญเขาได้จัดให้มี Exposition ในระหว่างที่เราพักอยู่ในประเทศนี้ เพราะการจัดให้มี Exposition นั้น นานๆปีเขาจึงจัดให้มีสักครั้งหนึ่ง และการได้ไปเที่ยวใน Exposition นี้นอกจากได้รับความสนุกเพลิดเพลินแล้วยังได้รับความรู้อีกเป็นอเนกประการ ดังที่เคยเล่ามาแล้ว

       อนึ่ง เนื่องจากข้าพเจ้ามีหนังสือเดินทางทูต มีเงินใช้จ่ายตามสบายได้เที่ยวและไปในที่ชั้นสูงและหรูหลายแห่ง จึงได้มีโอกาสรู้จักกับผู้หญิงชั้นสูงหลายคน เช่น คนหนึ่งเป็นบุตรีสาวของ "มาควิส" นัยน์ตาสีน้ำเงิน ผมสีทอง เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งที่เคยพบและรู้จัก ข้าพเจ้าได้พาเขาไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำ ตอนบ่ายไปรับประทาน "แอบเปเรตีฟ" ตอนเย็น ไปรับประทานอาหารเย็นและเต้นรำหลายครั้งและต้องพาเขาไปในที่หรูที่สุดทุกครั้ง ค่อนข้างแพง เราต้องแต่งตัวดีอยู่เสมอ ส่วนเขานั้นมีเครื่องแต่งตัวงามมาก เราไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำที่เซนต์ยอแมงบ้าง ที่Exposition ที่ชาโตเดอมาดริดในบัวเดอบูโลนบ้าง ที่ "ลิโด้" บ้าง ส่วนรับประทานอาหารและเต้นรำในเวลากลางคืน จำได้ว่าครั้งหนึ่งได้ไปที่ "Ambassadeur" ซึ่งเป็นสถานที่หรูและแพงที่สุดในกรุงปารีส ตั้งอยู่บนถนนชองเอลิเซส์ใกล้ ๆ กับ Place de la Concorde การที่ได้มีโอกาสพาผู้หญิงสาวชั้นสูงไปเที่ยวในที่โก้ ๆ ต่าง ๆ ในต่างประเทศนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อยทีเดียว
ธรรมเนียมในประเทศฝรั่งเศสนั้น สำหรับผู้หญิงชั้นสูง พ่อแม่เขาห่วงมาก ไม่ปล่อยให้เที่ยวอย่างฟรีอย่างผู้หญิงอเมริกัน เขาต้องไว้ใจ เชื่อถือ และให้เกียรติผู้ชายคนนั้น เขาจึงจะปล่อยให้ลูกสาวเขาไปเที่ยวด้วย
       ระหว่างพักอยู่กรุงปารีสตลอดเวลานั้น สำหรับภาพยนตร์ได้ไปดูบ่อยเหมือนกัน แต่โดยมากมักจะเลือกไปดูภาพยนตร์อเมริกัน ที่ชอบมากมีอยู่ ๓-๔ เรื่อง เช่นเรื่อง "แซลลี" แสดงโดย Marilyn Miller และโจอีเบราวน์ เป็นภาพยนตร์ซึ่งสวยมาก มีเพลงเพราะเช่นเพลง Look for the Silver lining มีเต้นระบำ และมีตลกขบขัน ดูสองสามครั้งก็ไม่เบื่อ อีกเรื่องหนึ่งชื่อ "วูปี" แสดงโดย เอ็ดดีแคนเตอร์ เป็นภาพยนตร์ตลกขบขันมาก มีอยู่เรื่องหนึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องกินใจ และค่อนข้างเศร้าโศกชื่อ Chanteur de Seville แสดงโดยเรมอนด์นาวาโร เป็นภาพยตร์ทำในอเมริกาแต่พูดภาษาฝรั่งเศสเรื่องดีมาก ผู้แสดงก็เก่งมาก ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าฟังภาษาฝรั่งเศสไม่ค่อยจะคล่อง แต่ดูเรื่องนี้แล้วน้ำตาต้องไหล ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ทราบว่าเขาทำขึ้นเป็น ๓ ภาษา คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปนนิช เรมอนด์นาวาโรแสดงเป็นพระเอกทั้ง ๓ ภาษา ส่วนอังกฤษ ฝรั่งเศส และสแปนนิช เรมอนด์นาวาโรแสดงเป็นพระเอกทั้ง ๓ ภาษา ส่วนนางเอกและตัวประกอบอื่นๆ นั้นต้องเปลี่ยนตัว
        สำหรับภาพยนตร์ในประเทศฝรั่งเศสนั้นไม่ค่อยจะทำเรื่องใหญ่ๆ เห็นจะเกี่ยวกับทุนน้อย และตลาดสำหรับฉายอยู่ในวงแคบ ไม่เหมือนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสจึงทำแต่หนังเรื่องธรรมดา แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศสแล้วก็ไม่ทิ้งลาย คือ ต้องเป็นเรื่องที่โป๊ และมีฉากโป๊ๆ ติดอยู่ด้วย
        การเที่ยวรถยนต์ในกรุงปารีสและบริเวณใกล้เคียงกรุงปารีส นั้นเราได้ไปเสมอ นอกจากพาท่านหญิงอัปษรสมานไปชมสถานที่ต่างๆ แล้วก็ได้ไปกับพวกเพื่อนๆ ทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะเมืองแวไซส์นั้นได้ไปบ่อย ใครมาเที่ยวกรุงปารีสก็ต้องพาไปดูที่นี้ นอกจากนั้นเจ้าคุณทูตยังวานให้ไปรับกมลา ซึ่งไปเรียนประจำอยู่ที่เมืองนั้นกลับมาสถานทูตอีกหลายครั้ง
        ในการไปเที่ยวเต้นรำตามสถานที่ต่างๆ นอกจากที่ได้เล่าเป็นส่วนรวมมาแล้วมีเรื่องพิเศษที่ควรจดไว้เพื่อความจำ ๒-๓ เรื่อง เช่นคืนหนึ่งเจ้าคุณอภิบาล คุณหญิงรื่นและข้าพเจ้าได้ไปดูละคร "คาสิโนเดอปารี" เมื่อละครเลิกแล้วตั้งใจจะเต้นรำที่สถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า "ฟลอริดา" ซึ่งมีข่าวบอกกล่าวว่า สถานที่นี้มีอะไรงามๆ และแปลกๆ ดูและเป็นสถานที่หรูมาก แต่เราไม่ทราบว่าสถานที่นี้อยู่ที่ไหน ฉะนั้นพอออกจากโรงละครก็คิดกันว่าต้องอาศัยรถแท๊กซี่ให้พาเราไป จึงรีบเดินมาขึ้นแท๊กซี่ แล้วบอกคนรถว่าให้ไปที่ "ฟลอริดา" เจ้าคนรถหันมามองหน้าเราอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า ขับรถเวียนไปเวียนมาพาเราไปสถานที่แห่งหนึ่ง เราลงจากรถเดินเข้าไปก็มีเจ้าของสถานที่ออกมารับรอง เราถามเขาว่าที่นี่ "ฟลอริดา" ใช่ไหม เขาอยากได้สตางค์เราก็พยักหน้าว่าใช่ เมื่อเรานั่งโต๊ะแล้วมองดูรอบๆ เห็นเป็นสถานที่เล็กๆ นึกสงสัยว่าจะไม่ใช่กระมัง แต่มันก็แปลกอยู่เพราะเป็นห้องบุผ้าดำ ทั้งห้อง ไฟมืดๆ มีแสงน้อยๆ จากโต๊ะต่างๆแปลกกว่าสถานที่อื่นๆ เราก็อยู่เต้นรำไปจนดึก ก็มาทราบว่าไม่ใช่ "ฟลอริดา" แน่ แต่ก็สนุกดีเหมือนกันแล้วเราก็ย้ายไปสถานที่เต้นรำอื่นๆ อีกหลายแห่งจนถึงเวลาเข้าจึงกลับบ้าน เป็นอันว่าสนุกกันมาก รุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็พยายามสืบต่อไปว่าสถานที่เต้นรำ "ฟลอริดา" นั้นอยู่ที่ไหนคงได้ความว่าอยู่ติดกันทีเดียวกับโรงละคร "คาซิโนเดอปารี" นี่ด้วยความเขลาของเราเองจึงถูกคนรถแท๊กซี่ต้ม แต่ก็เป็นเรื่องขบขันดีแม้จะถูกต้ม
        อีกครั้งหนึ่งเราชาย ๓ คน คือ ท่านศุภสวัสดิ์ ทวยเทพ และข้าพเจ้า ได้เชิญหญิง ๓ คนคือ จัสติน สเตลลา และกมลา ไปรับประทานอาหารและเต้นรำในที่หรูแห่งหนึ่ง ซึ่งเราต้องแต่งตัวราตรี เราเต้นรำอยู่จนดึกประมาณ ๓ นาฬิกาแล้ว นึกสนุกขึ้นมาจึงออกไปขี่รถเล่นซึ่งเป็นรถตอนเดียวของข้าพเจ้า ให้จัสตีนเป็นคนขับแล้วแต่จะพาเราไป เขาก็ขับอยู่ในกรุงปารีสตามถนนต่างๆ นั้นเอง ผู้หญิงอีกสองคนนั่งข้างหน้า ส่วนเราผู้ชายสามคนก็นั่งท้ายรถ เราทั้งหกร้องเพลงกันลั่นถนนกรุงปารีสในเวลาตี ๓ นั้น เหมือนอย่างกับอยู่ในบ้านเมืองของเรา สนุกและขำดีเหมือนกัน

๑๓๕. การเดินทางกลับประเทศไทย

        วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๔๗๔ เวลาเช้า ออกจากกรุงปารีสโดยรถไฟไปมาเซลล์ถึงเวลาค่ำ ได้ไปพักที่ Hotel de Noilles
        วันที่ ๑๗ กลางวันซื้อของและเที่ยวดูเมือง สำหรับเมืองนี้ข้าพเจ้าได้ผ่านไปมาตั้ง ๔ ครั้งแล้วจึงรู้จักค่อนข้างดี ถึงเวลากลางคืนพวกผู้ชายหลายคนที่มาส่งพระอัฐิและส่งเสด็จท่านหญิง ก็ได้พากันไปดูสิ่งสนุกต่างๆของฝรั่งเศสเช่นภาพยนตร์ ฯลฯ เป็นต้น
        วันที่ ๑๘ กันยายน ลงเรือฮาโคนีมารูของบริษัทญี่ปุ่น น้ำหนักหมื่นกว่าตัน เพื่อเดินทางกลับเมืองไทย มีผู้มาส่งที่เรือคือเจ้าคุณวิชิตวงศ์ ฯ ราชทูต กงสุลไทยและนักเรียนหญิงชายอีก ๑๐ กว่าคน ผู้ที่เดินทางกลับมีท่านหญิงอัปษรสมาน ท่านหญิงกมล ท่านหญิงน้อย ท่านหญิงเป้า เจ้าคุณสรรพกิจ ฯ บรูนา จิตร และมีนักเรียนอีก ๒ คน ท่านวงศานุวัตรไปส่งถึงเนเปิล
        ตามระเบียบของบริษัทเรือเขาห้ามไม่ให้นำศพหรืออัฐิขึ้นเรือ นอกจากได้ทำความตกลงกับบริษัทเสียก่อน แต่ในเรื่องพระอัฐิเสด็จในกรมนี้เราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะก็เป็นหีบของหีบหนึ่ง เท่านั้น ข้าพเจ้ารีบนำขึ้นเรือเสียแต่เวลาเช้าเก็บไว้ในห้องนอนข้าพเจ้า เรือออกเวลาบ่าย
        วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๗๔ เรือถึงเนเปิล มีหลวงสมานไมตรีรักษ์ เลขานุการสถานทูตที่กรุงโรมมารับและพาไปเที่ยวตามเคย ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันที่โฮเต็ลใหญ่ แล้วเลยไปแวะซื้อของฝากอีกด้วย เมืองนี้เมื่อขาไปเราก็ได้เที่ยวโดยตลอดครั้งหนึ่งแล้ว
        การเดินทางเรียบร้อยดี ผ่านช่องแคบเมซินาไปปอร์ตเสต เราก็ขึ้นเที่ยวตามเคย ไม่มีอะไรแปลก พวกแขกอียิปต์ที่ท่าเรือยังกวนโทโสเช่นเคยเหมือนกัน
        ออกจากปอร์ตเสตผ่านเข้าคลองสุเอซ ผ่านทะเลแดง ผ่านโคลัมโบ เราก็ขึ้นเที่ยวตามเคย และได้ว่าเช่ารถยนต์ไปรับประทานอาหารกลางวันที่โฮเต็ลอยู่บนเขาริมทะเลอยู่นอกเมืองหลายกิโลเมตร โฮเต็ลนี้ชื่อเมานต์ลาวิเนีย ซึ่งเมื่อเราเดินทางออกไปยุโรปก็ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันที่นี่เหมือนกัน ตอนค่ำเรือออกเดินทางต่อไป ถึงสิงคโปร์วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๔๗๔ ระหว่างอยู่ในเรือกัปตันได้เอาใจใส่ต่อพวกเรามาก คืนวันหนึ่งมี "สุกียากี้ ปาร์ตี้" คือ ทำอาหารญี่ปุ่นรับประทานกันเองบน "เด็ค" ได้ลองรับประทานอาหารญี่ปุ่นต่างๆ รวมทั้งปลาดิบด้วย ก็พอรับประทานได้ สำหรับปลาดิบทีแรกนึกขยะแขยง แต่คนอื่นเขาลองกันได้เราก็ลองบ้าง จิ้มน้ำจิ้มชนิดหนึ่ง กลิ่นคาวก็ไม่สู้จะมากนัก คือว่าถ้าหิวมากๆ ไมมีของอื่นรับประทานก็เห็นพอจะยัดเยียดเข้าไปได้ นอกจากนั้นก็ได้ลองดื่มเหล้าสาเก ซึ่งไม่เลวทีเดียว อาหารญี่ปุ่นที่น่ารับประทานก็เห็นจะมีแต่กุ้งทอด สุกียากี้ และเหล้าสาเก ๓ อย่างเท่านั้น
        การเดินทางมาในเรือญี่ปุ่นลำนี้ไม่สู้จะมีอะไรสนุกเพลิดเพลินนัก เพราะไม่มีวงดนตรี ไม่มีเต้นรำ ไม่มีการแข่งขันกีฬา ดูรู้สึกหงอยๆ ไปหน่อย
        ที่ท่าเรือสิงคโปร์มีพระสุนทรวาจนาซึ่งเป็นกงสุล และพระยาเทพรัตนรินทร์ ซึ่งนำรถพิเศษจากกรุงเทพฯมารับ เมื่อเรือเข้าเทียบท่าเรียบร้อยแล้ว ก็เชิญพระอัฐิขึ้นและได้ไปพักที่โฮเต็ลแรฟเฟิลส์ บ่ายวันนั้นได้ไปขึ้นรถยนต์เที่ยวและรับประทานน้ำชาที่ Sea View Hotel ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองออกไปหลายกิโลเมตร และอยู่ริมทะเล มีดนตรีและเต้นรำด้วย ตอนกลางคืนรับประทานอาหารแล้วขึ้นรถยนต์เที่ยวดูเมืองอีกบ้างเล็กน้อยสำหรับเมืองนี้ข้าพเจ้าเคยมาเที่ยวหรือผ่านไปมารวม ๓ ครั้งแล้ว
        รุ่งขึ้นวันที่ ๑๑ ตุลาคม เวลาเช้าได้เชิญพระอัฐิไปขึ้นรถพิเศษของเราซึ่งพ่วงอยู่ท้ายขบวน แล้วก็ออกเดินทางจากสิงคโปร์กลับกรุงเทพฯ ถึงกัวลาลัมเปอร์เวลาค่ำแล้วก็เดินทางไปปีนังต่อไป พระสุนทรมาส่งถึงปีนัง วันที่ ๑๒ ถึงไปร มีหลวงภาษาฯ กงสุลที่ปีนังมาคอยรับ เราไม่ได้พักเลย เขาก็จัดรถพิเศษของเราไปต่อพ่วงเป็นคันสุดท้าย ในขบวนรถไฟที่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วก็เดินทางต่อไป ถึงเวลากลางวันเข้าเขตแดนไทย

๑๓๖. กลับถึงกรุงเทพฯ

       วันที่ ๑๓ เช้าถึงหัวหิน นำพระอัฐิลงที่นั่นก่อน เพราะตามหมายทางราชการกำหนดพระอัฐิถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๑๖ จึงต้องลงพักหัวหินคอยรถอีกเที่ยวหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าเลยกลับกรุงเทพฯ ทีเดียว เพราะมีข้าวของต้องนำกลับเข้ามามาก กลับถึงบ้านเรื่องที่สลดใจที่สุดก็คือ เมื่อเวลาขึ้นไปเยี่ยมโกศคุณแม่ซึ่งคุณพ่อเป็นผู้นำขึ้นไป ตอนนี้กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พักอยู่กรุงเทพฯ คืนหนึ่ง รุ่งขึ้นวันที่ ๑๔ ลงไปหัวหิน ไปประจำอยู่กับท่านหญิงและพระอัฐิ เพราะข้าพเจ้ายังไม่หมดหน้าที่จนกว่าจะนำพระอัฐิถึงกรุงเทพฯ
        วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๗๔ ได้นำพระอัฐิขึ้นรถไฟที่หัวหิน ก่อนถึงนครปฐมต้องแต่งตัวเต็มยศ เพราะพิธีหลวงตั้งต้นที่นครปฐม ในขบวนรถจากปีนังเที่ยวนี้มีคุณไสวกลับมาจากอเมริกาด้วย ซึ่งเป็นเพื่อนรักเก่าแก่กันมา ได้มีโอกาสคุยกันถึงเรื่องต่างๆ
        ถึงนครปฐมมีเจ้าหน้าที่พระราชพิธีไปรับพระอัฐิจากข้าพเจ้า ไปขึ้นรถพิเศษถ่ายพระอัฐิใส่พระโกศทอง ถึงสถานีจิตรลดามีเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยจำนวนมากแต่งตัวเต็มยศมาคอยรับ แล้วก็เชิญพระอัฐิลงจากรถไฟเข้าขบวนแห่ไปวัดเบญจมบพิตร
        ในรถไฟจากสิงคโปร์ถึงกรุงเทพฯ นั้น มีชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ Harry Schenck ได้มาทำความรู้จัก นัยว่าเขามาจากฮอลลีวู๊ดมาเมืองไทย เรื่องจะทำภาพยนตร์สัตว์ป่าโดยจะร่วมมือกับพระอภัยวงศ์ เลยได้เป็นเพื่อนคุยกันมา ข้าพเจ้าเลยแนะนำว่าพี่ชายข้าพเจ้าก็เป็นนักถ่ายภาพยนตร์ เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้ว จึงได้พาคุณประสาทไปรู้จักแล้วเขาก็ว่าจ้างคุณประสาทไปร่วมมือกับเขาทำภาพยนตร์นี้ที่แหลมมลายูในสองสามเดือนต่อจากนั้นมา
ราววันที่ ๒๐ ตุลาคม ได้มีงานทำบุญ ๕๐ วันศพคุณแม่

๑๓๗. ตำแหน่งหน้าที่ราชการ

       ในระหว่างที่ข้าพเจ้าตามเสด็จไปต่างประเทศนี้ พระยามไหสวรรย์ได้ทำหน้าที่แทนข้าพเจ้าในตำแหน่งเลขานุการ ก.ร.พ. และกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ทำหน้าที่แทนกรมพระจันทบุรีฯ ในตำแหน่งนายก ก.ร.พ. เมื่อข้าพเจ้าจะกลับ กรมหมื่นเทววงศ์ก็เป็นห่วงเพราะในระหว่างที่ท่านร่วมงานกับพระยามไหสวรรย์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ไปโดยเรียบร้อยสะดวกดี ไม่อยากจะเปลี่ยนตัวเลขานุการ ท่านจึงขอให้พระยาโกมารกุลมนตรี ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังหาตำแหน่งให้ข้าพเจ้าใหม่ ในระหว่างที่ยังหาตำแหน่งใหม่ไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ต้องกลับมารับตำแหน่งเดิมของข้าพเจ้าไปก่อน ครั้นเมื่อได้ทำหน้าที่ไปสักสองสามอาทิตย์ก็เป็นที่พอพระทัย กรมหมื่นเทววงศ์ฯ จึงรับสั่งกับพระยาโกมารกุลว่า ไม่ต้องหาตำแหน่งให้ข้าพเจ้า แล้วต่อจากนั้นท่านเชื่อถือข้าพเจ้ามาก ความเห็นหรือหนังสือที่นำเสนอต่างๆ ทรงพอพระทัย
        นับว่าเป็นโชคชะตาดีของข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่งที่ว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้ารับราชการได้ทำงานอยู่กับท่านผู้ใหญ่สูงสุดตลอดมา คือขึ้นตรงต่ออภิรัฐมนตรีหรือเสนาบดี การทำงานอยู่กับท่านผู้ใหญ่สูงสุดดังนี้ก็เป็นโอกาสอันหนึ่งเหมือนกันคือ ถ้าเราทำตัวดีให้ท่านไว้วางใจและเห็นความสามารถก็มีโอกาสได้ดีเร็ว แต่ในทางตรงกันข้ามก็คือ ถ้าทำไม่ดีก็เท่ากับมีแผลประจำตัวตลอดไป หาโอกาสได้ดียาก อีกประการหนึ่งการทำงานอยู่กับผู้ใหญ่ดังนี้ได้รู้งานกว้างขวาง ได้รู้นโยบาย รู้เรื่องสำคัญๆ ได้บทเรียนที่ดีซึ่งได้ประโยชน์มาก
        วันที่ ๘ พฤศจิกายน ได้รับพระราชทานตราช้างเผือกชั้นที่ ๔
        ตั้งแต่ข้าพเจ้ากลับมาจากต่างประเทศคราวนี้ ในการทำราชการรู้สึกว้าเหว่มากเพราะไม่มีที่พึ่ง ต้องอาศัยพึ่งตัวเราเองเป็นหลัก บิดาก็ออกจากราชการไปนานแล้ว ไม่มีอิทธิพล นายเก่าที่ชุบเลี้ยงมาก็สิ้นพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าอยู่ในกระทรวงพระคลังก็ไม่มีพวกพ้องหรือผู้ใหญ่ที่จะช่วยอุปการะ สมัยนั้นการทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ แล้ว ถ้าไม่มีผู้อุปการะก็ลำบากไม่ใช่เล่น ข้าพเจ้าเคยโดนมาแล้วคือทำงานด้วยความหวังดีเป็นอย่างยิ่ง แต่หากไม่เป็นที่พอใจของเสนาบดีผู้มีอำนาจอย่างมาก ท่านก็เล่นงานข้าพเจ้าโครมๆ แต่ขณะนั้นข้าพเจ้ามีเสด็จในกรมซึ่งได้เห็นแล้วว่าข้าพเจ้าหวังดีจริง และท่านก็ชอบด้วยในทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำไป ข้าพเจ้าจึงรอดตัวมาได้จนถึงเวลานี้ ในกระทรวงพระคลังเวลานั้นก็มีการถือพวกพ้องกันมาก แต่ข้าพเจ้าอยู่นอกสังเวียน และไม่ได้เข้าไปร่วมพวกกับใครทำงานตรงไปตรงมา เมื่อกรมหมื่นเทววงศ์ฯ พอพระทัยในการทำงานของข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าก็พอใจ

๑๓๘. เรื่องงานศพมารดา (รูปภาพ), (รูปภาพ)

        ธันวาคม ทำบุญ ๑๐๐ วันศพคุณแม่
        ตั้งแต่คุณแม่ถึงแก่กรรม มีการเปิดศพที่บ้านทุกคืนจนถึงวันพระราชทานเพลิง ทุกๆวันอาทิตย์มีเทศน์ของบรรดาญาติพี่น้องและผู้นับถือ ทุกๆคืนมีสวด มีญาติมิตรเพื่อนฝูงมาเฝ้าศพกันหนาแน่นจนดึกทุกคืน
        มีนาคม ๒๔๗๔ มีงานพระราชทานเพลิงศพคุณแม่ที่วัดสระปทุม เป็นงานใหญ่มีคนมาช่วยเหลือมาก เมรุที่วัดนั้นคุณพ่อได้จัดสร้างขึ้นใหม่ ตอนแห่ศพจากบ้านไปวัดซึ่งมีระยะทางประมาณหนึ่งไมล์ มีคนแต่งกายขาวเดินตามศพเป็นจำนวนมากมาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จในงานนี้ด้วย การที่มีคนแต่งกายขาวเดินตามศพมากมาย และมีพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปพระราชทานเพลิงด้วยพระองค์เองเช่นนี้นั้น ตามประเพณีไทยถือว่าผู้ตายมีบุญวาสนาดีมาก เมื่อเผาแล้ว ข้าพเจ้าได้อยู่เฝ้าตลอดคืนจนเช้า มีงานสามหาบและเก็บกระดูก งานได้สำเร็จไปเป็นที่เรียบร้อย

๑๓๙. สร้างบ้าน

       กุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ ลงมือสร้างบ้านใหม่โดยแปลนของหลวงบุรกรรมโกวิท สร้างในที่ของหม่อมเจ้าสฤษติเดช ที่ตรอกพิกุล ถนนสาธร เป็นบ้านตึกขนาดใหญ่สองชั้น ชั้นหนึ่งๆมีขนาดประมาณเกือบ ๒๐๐ ตารางเมตร เฉพาะราคาตึกประมาณ ๑๓,๐๐๐ บาท ไม่นับเครื่องตบแต่ง เครื่องห้องน้ำและไฟฟ้า ชั้นบนมีห้องนอนขนาดใหญ่ ๓ ห้อง ห้องน้ำ ๒ ห้อง ห้องโถงใหญ่ ๑ ห้อง แล้วมีเฉลียง ชั้นล่างมีห้องรับแขกใหญ่ ๑ ห้องรับประทานอาหารใหญ่ ๑ ห้องหนังสือ ๑ ห้องบันใด ๑ ห้องน้ำ ๑ ห้องพักอาหาร ๑ เฉลียงหน้าบ้านและเฉลียงหลังบ้าน เรือนครัวมีครัว ๑ ห้องคนใช้ ๔ โรงรถจอดไว้รถได้ ๓ คัน

๑๔๐. เหตุการบ้านเมืองในปี พ.ศ.๒๔๗๕

       เมษายน ๒๔๗๕ กรุงเทพพระมหานครได้สร้างมาครบ ๑๕๐ ปี ทางการได้จัดให้มีการฉลองโดยเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจากฝั่งพระนครไปธนบุรี สมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เสร็จเป็นประธานในการเปิดสะพานนี้ ในเรื่องการสร้างสะพานนี้ข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องมาโดยตลอดว่า แต่ชั้นเดิมมีเสนาบดีผู้หนึ่งเสนอต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่า ในการฉลองกรุงเทพพระมหานครครบ ๑๕๐ ปีนี้ควรได้สร้างสะพานนี้ขึ้น แต่เสนาบดีและอภิรัฐมนตรีส่วนมากไม่เห็นด้วย เพราะต้องลงทุนจำนวนเงินตั้งหลายล้านบาท แต่ประโยชน์จะไม่ได้คุ้มกันเลย เพราะทางฝั่งธนบุรียังไม่มีถนนเลย เท่ากับทำสะพานไปเข้าป่า ยังจะต้องลงทุนสร้างถนนอีก เอาเงินจำนวนนี้ไปลงทุนในสิ่งที่มีประโยชน์อื่นๆ เสียก่อนจะดีกว่า ถ้ามีถนนฝั่งธนบุรีแล้ว และมีความจำเป็นทำเรือเฟอรีข้ามก็จะสิ้นเงินเพียงเรือนแสนเท่านั้น แต่เสนาบดีผู้เสนอเรื่องนี้ ก็ขอโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ อยู่เสมอ ผลที่สุดจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานนี้ทั้งๆ ที่ส่วนมากไม่เห็นด้วย
        วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ (อายุได้ ๒๘ ปีเศษ) เป็นวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ปัจจุบันของประเทศไทย คือ เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบรัฐะรรมนูญ โดยบุคคลคณะหนึ่งเรียกว่าคณะราษฎร มีทั้งทหารบก เรือ และพลเรือน ได้ทำโดยวิธีที่ฉลาดและละมุนละม่อมที่สุด ไม่มีผู้ใดเสียชีวิตเลย
        การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรนั้น ได้ทำขึ้นโดยวิธีไปจับตัวเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไปกักตัวไว้เป็นประกัน คือ เช้ามืดวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คนสำคัญในคณะนี้ได้ไปเชิญตัวสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เจ้านายอื่นๆ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนายไปรวมไว้พระที่นั่งอนันตฯ ส่วนเสนาบดีบางท่านนั้น เขาได้คุมตัวไว้ที่บ้านของแต่ละท่าน ขณะนั้นสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประทับอยู่หัวหิน แล้วคณะนี้ก็ได้ส่งผู้แทนไปอัญเชิญให้เสด็จกลับพระนคร แล้วขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้พระราชทานด้วยดี
        เช้าวันที่ ๒๔ นั้น ประชาชนพลเมืองแตกตื่นกันมากเพราะไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้ขึ้นรถไปดูที่หน้าพระที่นั่งอนันตฯ ก็ถูกทหารห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้ ผลที่สุดจึงได้ทราบเรื่องจากใบปลิว ซึ่งคณะราษฎรเขาได้แจกจ่ายให้ไปอ่านในชุมนุมชนหลายแห่ง ในวันนั้นตื่นเต้นมาก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและจะเป็นอย่างใดต่อไป

บุคคลชั้นผู้นำที่ปรากฏชื่อในวันนั้น ฝ่ายทหารมีนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช นายพันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ ฝ่ายพลเรือนมีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม

การเปลี่ยนแปลงคราวนี้คณะราษฎรได้ประกาศหลักหกประการไว้ดังต่อไปนี้
(๑) การเมือง
(๒) การศาล
(๓) การเศรษฐกิจ
(๔) เสรีภาพ
(๕) เสมอภาค
(๖) การศึกษา
เป็นอันว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ซึ่งในทางทฤษฎีก็ต้องว่าจะต้องดีขึ้น ส่วนในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างใดนั้นจะได้ดูกันต่อไป

(รูปภาพ ๒๔๗๕)

กลับที่เรี่มต้น
กลับไปสารบัญ

จบตอนที่สอง