[ กลับไปสารบัญ ]

ภาคที่ ๑,   ตอนที่ ๒

2.  กรมพระจันทบุรีเสด็จยุโรป,  พ.ศ. ๒๔๗๓

๑๑๐. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จกรมพระจันทบุรีนฤนาถไปยุโรป  ( ๒๔๗๓)
๑๑๑. โคลัมโบ
๑๑๒. คลองสุเอซและปอร์ตเสต
๑๑๓. อเล็กซานเดรีย
๑๑๔. เนเปิลส์ ปอมเปอี และเยนัว
๑๑๕. ถึงประเทศฝรั่งเศส
๑๑๖. ไปประเทศอังกฤษ
๑๑๗. กลับไปพักที่กรุงปารีส
๑๑๘. ไป "กีฬาฤดูหนาว" ที่ St Moritz
๑๑๙. ไปริเวียรา
๑๒๐. กลับกรุงปารีส กรมพระจันทบุรีฯ ทรงประชวรหนัก
๑๒๑. กรมพระจันทบุรีฯ สิ้นพระชนม์
๑๒๒. "หน้าที่" ในการตามเสด็จเจ้านายชั้นผู้ใหญ่

๑๑๐. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จกรมพระจันทบุรีนฤนาถไปยุโรป  ( ๒๔๗๓)

       กรมพระจันทบุรีฯ ประชวรในพระศอ แพทย์ได้ประชุมกันแนะนำให้ไปรักษาพระองค์ในยุโรป การไปนี้เป็นการไปส่วนพระองค์ จึงมิได้คิดจะเอาใครไปตามเสด็จ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเห็นว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ เพื่อให้สมพระเกียรติจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลือกเลขานุการตามเสด็จได้คนหนึ่ง กรมพระจันทบุรีฯได้ทรงเลือกข้าพเจ้า ซึ่งได้รับใช้สอยพระองค์ท่านมาหลายปีแล้ว การตามเสด็จนี้คงได้เงินเดือนเต็มและเบี้ยเลี้ยงอีกวันละ ๒ ปอนด์ ส่วนตำแหน่งหน้าที่ราชการของข้าพเจ้าทางกรุงเทพฯ นั้นทางการได้ให้พระยามไหสวรรย์ทำแทน
       ในการที่จะไปต่างประเทศคราวนี้ รู้ตัวเพียงระยะเวลา ๒ อาทิตย์เศษเท่านั้น ซึ่งต้องจัดทำธุระหลายอย่างภายในเวลานั้น คือ ตัดเสื้อผ้า ซื้อตั๋วเรือ จัดเรื่องเงินทอง จัดเรื่องหนังสือเดินทาง และเรื่องต่างๆ ของเสด็จในกรมและท่านหญิงอีกด้วย ฯลฯ นอกจากนั้นข้าพเจ้าได้นัดจะไปสอบท่วงทีวาจาข้าราชการในมณฑลภาคเหนือไว้แล้ว ซึ่งจะต้องไปตามกำหนดนั้น จึงไปได้เพียงสองจังหวัดเท่านั้น คือ อยุธยา และนครสวรรค์
ก่อนออกเดินทางไปต่างประเทศ ๒-๓ วัน เสด็จในกรมได้เรียกข้าพเจ้าเข้าไปในห้องที่ทำงานของท่านที่กระทรวงพระคลังฯ วันหนึ่ง ทรงชี้ไปที่ตู้เก็บหนังสือตู้หนึ่งแล้วรับสั่งว่า ในตู้ใบนี้มีหนังสือลับต่างๆ ทั้งนั้น ทั้งราชการและส่วนตัว ถ้าพระองค์ท่านเป็นอะไรไป จะเป็นบ้าหรือตาย ขอให้ข้าพเจ้ามาเปิดตู้นี้ตรวจดูว่าเรื่องใดควรจะจัดส่งคืนไปให้ผู้ใดด้วย ท่านจะได้ทำหนังสือมอบหมายให้เป็นหลักฐาน แล้วท่านก็ได้เขียนหนังสือไว้ให้ข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง มอบหมายอะไรต่ออะไรไว้บางอย่างให้จัดทำในเมื่อท่านไม่มีชีวิตแล้ว
       ข้าพเจ้าได้ไปลาบุคคลต่างๆ ตามสมควร
       วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๔๗๓ ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้ามืดไปที่วังกรมพระจันทบุรีฯ พระองค์ท่านและท่านหญิงและคนใช้หญิงคนหนึ่งชื่ออบเชยที่จะตามเสด็จด้วย แต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจะขึ้นรถไปสถานีรถไฟหัวลำโพง สังเกตดูหน้าตาพวกที่วังไม่ค่อยจะดีนักเป็นห่วงในการประชวรนี้มาก ถึงสถานีหัวลำโพงมีผู้คนไปส่งล้นหลาม ที่ท่านเสด็จก่อนข้าพเจ้า ๒ วันก็เพื่อไปกราบทูลลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับอยู่หัวหิน ก่อนรถไฟออกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ เห็นข้าพเจ้ายืนอยู่ จึงทรงพระดำเนินมาที่ข้าพเจ้าแล้วยื่นมือมาจับและรับสั่งว่า "Bon Voyage" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่ไปวันนี้ จะไปวันพุธ" ทรงตอบว่า "ย่ะ วันพุธฉันไม่มาส่งแกดอก"
       บิดาข้าพเจ้าเคยเป็นครูเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เมื่อท่านยังทรงพระเยาว์และกำลังศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ พระองค์ท่านจึงเรียกบิดาข้าพเจ้าว่า "ครู" ตลอดมาจนบัดนี้ การเสด็จไปต่างประเทศคราวนี้ บิดาข้าพเจ้าก็ได้ไปส่งที่สถานี ทรงรับสั่งว่า "ฉันหวังว่าคงจะได้กลับมาพบกับครูอีก"
       การตามเสด็จไปคราวนี้ ข้าพเจ้าหนักใจอยู่มาก เพราะท่านไม่ค่อยทรงสบายเสวยอะไรไม่ค่อยได้นอกจากของอ่อนๆ ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องจัดการในเรื่องนี้ตลอดทาง แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นเกรงว่า ระหว่างเดินทางถ้าท่านเป็นอะไรไปเราก็คงจะลำบากไม่ใช่เล่น เช่นเวลาอยู่ในเรือเขามีระเบียบอย่างไรเราก็ทราบดีอยู่แล้ว
       วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๔๗๓ (อายุได้ ๒๖ ปี ๔ เดือนเศษ) ข้าพเจ้าก็จับรถด่วนจากกรุงเทพฯ เพื่อไปปีนัง เสด็จในกรมและท่านหญิงขึ้นรถขบวนนี้ที่หัวหิน วันที่ ๑๙ ถึงปีนัง ไปพักที่โฮเต็ลรันนีมีดเป็นครั้งที่ ๕ ที่ข้าพเจ้ามาเมืองนี้ พอถึงโฮเต็ลก็มีหนังสือพิมพ์มาสัมภาษณ์หลายฉบับ ข้าพเจ้าก็ได้ให้การไปตามที่เห็นสมควร แล้วเขาก็ไปลงให้เป็นอย่างดี และตอนท้ายลงชมเชยตัวข้าพเจ้าเองอีกต่อหนึ่งด้วย เจ้าเมืองปีนังมาเยี่ยมคำนับตามเคยและข้าพเจ้าก็ได้นำการ์ดไปตอบแทน ระหว่างพักอยู่โฮเต็ลข้าพเจ้าต้องเข้าครัวหลายครั้งเพื่อจัดเรื่องเครื่องเสวย เพราะเสวยได้แต่ของอ่อนๆ
       วันที่ ๒๐ เวลาเช้าเรือเปรสสิเดนต์ อดามส์ ซึ่งเป็นเรือลำเดียวกับที่ท่านขจรโดยสารออกไปยุโรปก็ออกจากท่าเรือปีนัง มานึกๆ ดูก็แปลก เมื่อ ๓ เดือนเศษมานี้เอง เรายืนอยู่ข้างล่างโบกมือกับท่านขจรในเรือลำนี้ มาคราวนี้เราขึ้นมาอยู่ในเรือลำนี้ โบกมือกับท่านอมร ท่านหญิงชวลิต หลวงภาษาและภรรยา ซึ่งยืนอยู่ข้างล่าง และก็ชุด ๔ คน นี้ยืนอยู่กับพวกเราเมื่อส่งท่านขจรขึ้นเรือลำนี้ ตอนเรือออกข้าพเจ้ามีความรู้สึกชอบกลมากคือรู้สึกว่าเราได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง
       เรือลำนี้เป็นเรืออเมริกันขนาดหมื่นกว่าตัน ยาว ๕๕๐ ฟิต กว้าง ๖๐ กว่าฟิตใหญ่โตสบายดี อาหารการกินก็ดีมาก และที่ข้าพเจ้าชอบก็คือมีน้ำจืดอาบตลอดเวลาข้าพเจ้าอยู่ห้องคนเดียว สิ่งแรกที่ต้องจัดก็คือเรื่องเครื่องเสวยต้องติดต่อกับ Chief Steward ว่าเสวยอะไรได้บ้าง วันใดให้จัดอาหารอะไร
       กิจประจำวันที่ต้องทำในเรือลำนี้คือ ต้องตื่นแต่ก่อนย่ำรุ่ง แต่งตัวเสร็จเวลาย่ำรุ่งตรง ไปคอยรับเสด็จในกรมที่หน้าห้องท่าน เพื่อไปทรงชั่งน้ำหนักทุกวันว่าลดลงหรือไม่เพียงใด สองโมงเช้าเศษ เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็นำเอาหนังสือพิมพ์ประจำวัน (เรือลำนี้มีหนังสือพิมพ์ออกทุกวันเวลาเช้า มีข่าวทั่วไปของโลกซึ่งรับทางวิทยุและมีข่าวกิจการของเรือ) ไปถวายเสด็จในกรมและท่านหญิงระหว่างเสวยอาหารเช้าในห้องของท่าน แล้วก็นั่งคุยอยู่จนเสวยเสร็จ ในกรมเสด็จเดินรอบ "เด็ค" ข้าพเจ้าก็ตามเสด็จพอสายหน่อยก็เสด็จเข้าห้องทรงพระอักษร แต่ท่านหญิงก็ออกจากห้องพอดีเสด็จรอบ "เด็ค" ข้าพเจ้าก็ตามเสด็จเป็นเพื่อนท่านอีกเที่ยวหนึ่งแล้วก็นั่งเก้าอี้บนเด็ค อ่านหนังสือซึ่งโดยมากข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ถึงเวลาอาหารกลางวันข้าพเจ้ารับประทานเสร็จแล้วก็ขึ้นไปคุยด้วยระหว่างท่านเสวยในห้องท่าน บ่ายบางวันท่านหญิงทรงไพ่โปเกอร์ข้าพเจ้าก็เล่นด้วย ฯลฯ กลางคืนพอเรารับประทานเสร็จแล้วก็ขึ้นไปคุยกับท่านเช่นเวลาอาหารอื่นๆ จนถึงเวลาเข้าบรรทมข้าพเจ้าก็ฟรี
       เวลาส่วนตัวถ้าวันใดไม่ติดธุระที่กล่าวไว้ข้างบน ก็ได้ไปเล่นเด็คเทนนิสบ้าง นอนกลางวันบ้าง ไปเต้นรำเวลาน้ำชาบ้างและเต้นรำเวลากลางคืนบ้าง ในเรือลำนี้มีวงดนตรีเต้นรำประจำเรือ ซึ่งนอกจากต้องเล่นในเวลาเต้นรำแล้วยังต้องเล่นเวลารับประทานอาหารกลางวัน อาหารเย็น และเวลาเรือกำลังจะเข้าท่าเรือ และออกจากท่าเรือทุกๆแห่ง
       คนโดยสารเที่ยวนี้มีไม่สู้มากนักราวสัก ๕๐ คน หนุ่มสาวมีน้อย ที่สาวแท้และที่ได้เล่นหัวกับข้าพเจ้าบ้างก็มีลูกสาวนายพลเรืออเมริกัน ซึ่งบิดาเขาประจำอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เขาชื่อโอลกา เครเวน อายุราว ๑๖-๑๗ ปี เดินทางมากับมารดาของเขา นอกจากนั้นก็มีภรรยาเจ้าคุณสรรพกิจปรีชา ชื่อบรูน่า เป็นชาวอิตาเลียน เจ้าคุณสรรพกิจนั้นตั้งใจจะไปยุโรปอยู่แล้ว เมื่อทราบว่าในกรมจะเสด็จก็เลยตามเสด็จไปด้วย พร้อมด้วยบรูนาและลูกชายเล็กอายุประมาณ ๑ ขวบ ชื่อจิตร นายจิตรซนมาก ข้าพเจ้าต้องช่วยดูแลให้ด้วยบางเวลา
       ในเวลาเต้นรำจะเป็นตอนเย็นหรือกลางคืน เราก็มีคู่เต้นรำประจำอยู่สองคน คือ โอลกา และบรูนา ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีใครเต้นกันนัก
       บรรดานายเรือมีกัปตันอ้วนใหญ่มาก น้ำหนักเห็นจะกว่า ๓๐๐ ปอนด์ เดินแทบไม่ไหว เปอรเซอร์หนุ่มสวย เล่นเปียโนเก่ง หัวหน้าอินยิเนียท่าทางรู้สึกอยากเจ้าชู้แต่เข้าคนไม่ค่อยเป็น แล้วมีช่างตัดผมหัวแดงคนหนึ่งตลกขบขันมาก โม้ตลอดเวลาเลย
       ระหว่างทางปีนังกับโคลัมโบได้มีการซ้อมสำหรับคนโดยสารว่า ถ้ามีภัยเกิดขึ้น คนโดยสารต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งเขามีคำอธิบายติดไว้ในห้องทุกๆห้องแล้ว ว่าต้องหยิบชูชีพในห้องของตน แล้วขึ้นบนเด็คชั้นบน เพื่อขึ้นเรือบตตามที่เขากำหนดไว้ คือใครอยู่ห้องนอนใดก็ต้องไปขึ้นเรือบตตามเลขที่เขาบอกไว้ในห้องนอน อาณัติสัญญาณภัยก็คือหวูดเรือเท่านั้นๆครั้ง

๑๑๑. โคลัมโบ

       วันที่ ๒๕ กันยายน เรือถึงโคลัมโบ เป็นครังที่ ๒ ที่ข้าพเจ้าได้มาเห็นเมืองนี้อีก เมืองนี้สวยอยู่แต่ในเขตชายทะเลบางตอนเท่านั้น และมีโฮเต็ลใหญ่ พอลึกเข้าไปหน่อยก็ไม่เป็นเรื่อง บ้านเมืองไม่สู้โตมากนัก พอเรือถึงก็มีกงสุลสยาม (ชาติอังกฤษ) ลงมารับที่เรือ และมีพระไทยและพระแขกมาเฝ้าสด็จในกรมเป็นจำนวนไม่น้อย ข้าพเจ้าต้องเป็นผู้รับแขกแทนเพราะไม่ทรงสบายมากนัก ครั้นแล้วกงสุลก็ได้มอบตัวเองที่จะเป็นผู้พาเที่ยวดูเมือง แต่รับสั่งให้บอกว่าไม่ต้องลำบากดอก เมื่อผู้มาเฝ้าทั้งหลายกลับขึ้นบกหมดแล้วเสด็จในกรม ท่านหญิง เจ้าคุณสรรพกิจ และข้าพเจ้าก็ขึ้นเที่ยวบนบก เช่ารถคันหนึ่งโดยมากพวกเราก็เคยผ่านเมืองนี้กันคนละครั้งหรือหลายครั้งแล้วนอกจากท่านหญิง จึงพาท่านไปดูสถานที่ต่างๆที่ควรดู เช่นวัดไทยเป็นต้น แล้วก็ไปซื้อของตามร้านต่างๆ ไปรับประทานอาหารกลางวันที่เมานต์ ลาวิเนีย เป็นโฮเต็ลอยู่บนเขาริมทะเลนอกเมืองไปหลายกิโลเมตร บ่ายมานั่งพักที่โฮเต็ล "กัลเฟซ" ซึ่งเป็นโฮเต็ลใหญ่และหรูที่สุด เขียนจดหมายและโปสการ์ดถึงคนในเมืองไทย ตอนเย็นขึ้นรถยนต์เที่ยวดูเมืองโดยตลอดอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ลงเรือ ค่ำวันนั้นเรือก็ออกเดินทางต่อไป
       เมืองโคลัมโบนี้เป็นท่าเรือสำคัญแห่งหนึ่ง อังกฤษได้มาลงทุนไว้มาก เช่นก่อสร้าง Break Water กันคลื่นไว้เสียยาวยืดข้างหน้าท่าเรือ เพื่อให้เรือเข้าไปจอดในอ่าวได้โดยไม่ให้ถูกคลื่น ประวัติของเมืองนี้มีว่าขึ้นอยู่กับปอร์ตุเกศ ระหว่าง ค.ศ.๑๕๑๗ ถึง ๑๖๕๖ แล้วก็ไปขึ้นอยู่กับฮอลันดา จนถึง ค.ศ.๑๗๙๖ จึงได้ตกมาขึ้นอยู่กับอังกฤษ
       พวกแขกตามเมืองท่าเรือทุกท่ามีนิสัยไม่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่หากินแถบท่าเรือ คือมันเห็นว่าผู้เดินทางผ่านเหล่านี้มาอยู่เพียงวันเดียวสองวัน ถ้ามันมีโอกาสโกงหรือโก่งราคาอะไรได้ก็เป็นโชคลาภของมัน ฉะนั้นมันจึงเอาเต็มที่ สำหรับเราผู้เดินทางต้องคอยระวังตัว และก็น่ารำคาญมากเพราะมันเดินตามกวนเราอยู่ตลอดเวลาเป็นผู้นำทางเที่ยวดูเมืองบ้าง ขายของโดยราคาแพงๆบ้าง เป็นนายหน้าหารถเช่าบ้าง ฯลฯ

๑๑๒. คลองสุเอซและปอร์ตเสต

วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๗๓ เช้ามืดเรือถึงเมืองสุเอซ ซึ่งเป็นเมืองตั้งอยู่ทางด้านใต้ของปากคลองสุเอซ แล้วก็เดินทางในคลองต่อไป เย็นถึงปอร์ตเสตพวกเราก็ลงเที่ยวกันตามเคย และก็ถูกพวกแขกอียิปต์กวนตามเคยเช่นกัน เมืองนี้เป็นเมืองค่อนข้างเล็ก เที่ยวประเดี๋ยวเดียวก็ทั่วเมือง เราได้ไปดูตามห้างร้านขายของบ้าง เมืองนี้ข้าพเจ้าได้เคยผ่านมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘
       คลองสุเอซนี้ได้ขุดขึ้นก็เพื่อให้ทางคมนาคมจากยุโรปมาเอเซียใกล้ขึ้น โดยไม่ต้องอ้อมทวีปแอฟริกา ซึ่งต้องเสียเวลาเรือเดินตั้งสองอาทิตย์ นอกจากเสียเวลาแล้วก็เป็นการสิ้นเปลืองอื่นๆ อีกมาก เพราะเรือเดินวันหนึ่งต้องสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เงินเดือนคนเรือ ค่าอาหาร ค่าสึกหรอของเรือ ฯลฯ ระยะทางตัดจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาออกทะเลแดง คือจากปอร์ตเสตถึงสุเอซมีระยะทางเพียง ๘๗ ไมล์เท่านั้น และยังได้อาศัยผ่าน Lakes เดิมด้วยอีก ๒๑ ไมล์ คงต้องขุดเพียง ๖๖ ไมล์ สองข้างทางของคลองที่ขุดนี้เป็นทะเลทราย บางวันลมจัดก็พัดเอาทรายมากองบนเรือได้มากๆ ประวัติของการขุดคลองนี้มีว่าคนชาติฝรั่งเศสชื่อ Ferdinand de Lesseps เป็นผู้คิดจัดขุดขึ้นโดยได้รับอนุญาตจากปาชาของอียิปต์ ได้ตั้งเป็นบริษัทขึ้น ทุนแปดล้านปอนด์ การขายแชร์ก็ขลุกขลักมาก ตั้งต้นขุดเมื่อ ค.ศ.๑๘๕๙ เสร็จเมื่อ ค.ศ.๑๘๖๙ รวมเวลา ๑๐ ปี ระหว่างนั้นยุ่งเหยิงมากในเรื่องเงินไม่พอ เมื่อเปิดแล้วใหม่ๆ ก็ขาดทุนเพราะเรือผ่านน้อย แต่ผลที่สุดต่อมาอังกฤษได้ซื้อแชร์ไว้มาก มาจนบัดนี้ก็อยู่ในอิทธิพลของอังกฤษ และเวลานี้มีเรือผ่านมาก บริษัทนี้ได้กำไรงาม ค่าเรือผ่านค่อนข้างแพง เรือขนาด "เปรสสิเดนต์อดามส์" นี้ผ่านเที่ยวหนึ่งต้องเสียเงินค่าผ่านร่วมสองหมื่นบาท (ประมาณแปดพันเหรียญอเมริกัน) เรือที่จะผ่านต้องกินน้ำลึกไม่เกินประมาณ ๓๐ ฟุต เวลาเรือสวนกันลำหนึ่งต้องหยุดจอดแอบอยู่ข้างๆ อีกลำหนึ่งก็ต้องแล่นช้าอย่างที่สุด เมื่อเรือได้จอดพักที่ปอร์ตเสตหลายชั่วโมงแล้ว ค่ำวันนั้นเวลาสองยามเรือก็ได้ออกเดินทางไป อเล็กซานเดรียต่อไป

๑๑๓. อเล็กซานเดรีย

วันที่ ๗ เช้าเรือถึงอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นเมืองท่าเรือและเมืองใหม่ของอียิปต์เมืองหนึ่ง เป็นเมืองเก่าแก่และสำคัญในประวัติศาสตร์ด้วย เมืองนี้สวยและหรูไม่แพ้เมืองฝรั่ง มีตึกรามใหญ่โต มีถนนริมทะเลงามมาก เราได้ไปดู Mummies (ศพที่เขาฉีดยาเก็บไว้ตั้งร้อยๆ พันๆ ปี โดยไม่เปื่อยไม่เน่า) ในมิวเซียม ดูๆไปก็ไม่น่าเกลียดหรือน่ากลัวเลย เหมือนกับคนนอนหลับ เนื้อหนังก็ดูสดดี เสียแต่สีเนื้อค่อนข้างดำ วิธีเก็บศพไว้เช่นนี้เขาว่าต้องเอาสิ่งที่จะเน่าได้ในตัวคนออกให้หมด แม้จะกระทั่งมันสมองก็ต้องเอาลวดแยงขึ้นไปทางรูจมูกดึงเอาออกมา แล้วก็อาบศพด้วยน้ำยาชนิดหนึ่ง ศพทั้งหมดที่ได้เห็นนับจำนวนหลายสิบ นอกจากนั้นก็มีหีบศพงามๆ และของโบราณร้อยแปด เราได้ไปดูสถานที่โบราณเรียกว่าปราสาทใต้ดิน เล่ากันว่าในสมัยกกระโน้นกษัตริย์นิยมอยู่ใต้ดินกันเราเดินลงบันไดกว่าจะถึงข้างล่างไม่ใช่ใกล้ รู้สึกอึดอัดมาก หายใจไม่สะดวก สงสัยว่าสมัยกระโน้นเขาอยู่กันได้อย่างใด เห็นจะด้วยความเคยชินนั่นเอง ข้างล่างนั้นมีพร้อมทุกอย่างและจัดไว้อย่างสวยงาม มีห้องต่างๆ เหมือนกับบ้านที่เราอยู่กันเดี๋ยวนี้ นอกจากนั้นที่ไว้สัตว์พาหนะก็ต้องลงไปอยู่ใต้ดินเช่นกัน มีลำธารน้ำรับประทานไหลผ่านที่อยู่นั้น ตลอดจนมีที่ไว้ศพเมื่อตายแล้วน่าสนใจมาก
       ตอนบ่ายเราได้ไปรับประทานน้ำชาที่ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เป็นสวนใหญ่และหรูพอใช้ มีดนตรีวงใหญ่บรรเลงตลอดเวลา มีผู้คนมารับประทานน้ำชากันหนาแน่นต่อจากนั้นเราได้ไปขี่รถยนต์รอบเมืองและได้เลยออกไปนอกเมืองด้วย ตามถนนหนทางไปนอกเมืองเต็มไปด้วยต้นอินทผาลัม ได้ไปเที่ยวดูบ้านเมืองอย่างตลอด ตอนกลางคืนเมื่อได้เสด็จเข้าห้องบรรทมแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ออกไปเที่ยวอีก โดยจ้างคนนำทางคนหนึ่งให้พาไป แต่ก่อนลงจากเรือได้บอกกับเจ้าหน้าที่ในเรือว่าคนๆ นี้เป็นคนพาฉันไป ถ้าฉันหายไปไม่ได้กลับมาก็ขอให้เอากับคนๆนี้ ทั้งนี้ข้าพเจ้ากลัวถูกต้มเหมือนกัน เพราะเท่าที่ทราบเรื่องมาแล้วเขาว่าเมืองปอร์ตเสต และอเล็กซานเดรียนี้แขกอียิปต์ต้มคนโดยสารที่ผ่านมาเสมอ ผู้นำทางได้พาข้าพเจ้าไปโรงเต้นรำที่หรูแห่งหนึ่งอยู่ชายทะเลเรียกว่า Pavilion Blue แล้วพาไปดู "ระบำเปลือยกาย" ที่ๆ พิเศษ มีผู้หญิงเปลือยกายออกมาเต้นรำแบบอียิปต์ และไปดูของแปลกอีกหลายอย่างสนุกสนานดี บังเอิญเคราะห์ดีของข้าพเจ้าด้วย วันนั้นทั้งเมืองตบแต่งไฟฟ้าสว่างไสวไปหมดคล้ายกับงานเฉลิมของเรา ทั้งนี้เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จกลับเข้ากรุงไคโร เป็นพิธีทุกปีที่ต้องจุดไฟเฉลิมส่งพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสด็จมาตากอากาศหน้าร้อนที่เมืองนี้ ชาวอียิปต์บ่นให้ฟังว่าเมืองเขาเก็บภาษีแพงมากแล้วก็ดูซี เอาเงินที่เก็บไปนั้นมาตบแต่งไฟเพื่อส่งพระเจ้าแผ่นดินเข้ากรุง ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไรเลย
       ผู้หญิงอียิปต์นี้เคยได้มีคำบอกเล่าว่าสวยมาก สีเนื้อเป็นสีทอง ฯลฯ ได้มาเห็นด้วยตนเองก็ลงความเห็นว่าไม่เลว เสียอย่างเดียวที่เธอใส่ผ้ามุ้งบางๆ ปิดหน้าเสียครึ่งหน้า คือตั้งแต่ใต้นัยน์ตาลงมา โดยมากผู้หญิงสาวปิดหน้าอย่างนี้ทุกคน เขาว่าเป็นธรรมเนียมของเขาว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานต้องปิดหน้าอย่างนี้ เขายิ่งปิดเราก็ยิ่งอยากดู เดินไปตามถนนก็เจอแต่หญิงปิดหน้า
       วันที่สามเช้าเราก็ออกเที่ยวดูเมืองต่อไปอีก ดูร้านขายของ ไปดูหมอดู ดูร้านขายของโบราณและสถานที่ต่างๆ เสด็จในกรมทรงซื้อบุหรี่มากมากก่ายกอง ตอนบ่ายเรือออก

๑๑๔. เนเปิลส์ ปอมเปอี และเยนัว (รูปภาพ)

       วันที่ ๑๑ เช้าเรือถึงเมืองเนเปิลส์ในประเทศอิตาลี มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองและเจ้าคุณอภิบาลฯ ราชทูตที่กรุงโรม และคุณหญิงรื่นมารับเสด็จที่เรือพร้อมทั้งกงสุลของเรา (ชาวอิตาเลียน) ด้วย ตอนเรือจะเทียบท่ามองลงไปเห็นรถยนต์เก๋งสวยๆ จอดอยู่ ๒-๓ คัน มีผู้คนแต่งตัวเรียบร้อยใส่หมวกสูง มีคนแต่งยูนิฟอร์มต่างๆ อีกหลายคน ก็นึกได้ทันทีว่ามีหน้าที่อีกแล้ว พอเรือจอดบุคคลเหล่านี้ก็ขึ้นมาบนเรือ ข้าพเจ้าก็ได้แนะนำตนเองแล้วพาไปนั่งคอยในห้องรับแขก แล้วเชิญเสด็จในกรมออกมาแนะนำให้รู้จักผู้ที่มารับเหล่านี้ เมื่อได้ปราศรัยกันพอสมควรแล้วนายทหารองครักษ์เจ้าเมืองได้กราบทูลว่า ได้ส่งรถเก๋งใหญ่สองคันมาไว้สำหรับทรงใช้
       ก่อนถึงเนเปิลส์เรือผ่านช่องแคบเมชินา คือระหว่างประเทศอิตาลีและเกาะซิซิลี ตอนผ่านช่องแคบซึ่งมีระยะกว้างเพียงสองไมล์นี้ กัปตันบอกข้าพเจ้าว่าถ้าผ่านเวลากลางคืนลำบากมาก เพราะน้ำเชี่ยวและมีเรือเล็กข้ามไปข้ามมาอยู่เสมอ
       เนเปิลส์เป็นเมืองท่าเรือใหญ่ เมืองอุตสาหกรรม เมืองเก่าแก่และสำคัญในประวัติศาสตร์ของอิตาลีเมืองหนึ่ง มีภูเขาไฟใกล้ๆ อยู่ลูกหนึ่งเรียก Versuvius กลางวันเห็นควันขึ้นเป็นกลุ่มๆ ตลอดวัน กลางคืนเห็นไฟขึ้นเป็นฝอยๆ เห็นใหม่ๆ ชักตกใจกลัวมันจะระเบิด แต่เมื่อทราบว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้หลายร้อยปีมาแล้วก็ค่อยสบายใจขึ้น
       เราตั้งต้นเที่ยวดูสถานที่ต่างๆ คือ ๑. ไปดูเมืองร้างชื่อ Pompeii ระยะทางประมาณ ๑๕ ไมล์ คือโดยรถยนต์ราวครึ่งชั่วโมงจากเนเปิลส์ ถนนดีมาก พึ่งทำขึ้นใหม่เป็นถนนคอนกรีตมีขนาดกว้างให้รถเดินได้หลายแถว ประวัติของเมือง Pompeii นี้มีอยู่ว่า เมื่อพันแปดร้อยกว่าปีมาแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่โต ในสมัยนั้นเป็นเมืองที่ศิวิลัยซ์มาก แล้วถูกภูเขาไฟ Versuvius ระเบิดทับเมืองทั้งเมือง คนตายมากมาย เมื่อระเบิดทับแล้วไม่เห็นเมืองเลย ต่อมานักประวัติศาสตร์ว่า เขาตั้งต้นขุดดูก็พบเมืองจริงๆ พังป่นปี้หมด แต่ก็ยังเป็นโครงรูปถนนบ้านเรือนตึกใหญ่ๆ การดูเมืองนี้ความที่ใหญ่โตมากในกรมและท่านหญิงต้องเสด็จขึ้นแคร่หามจึงจะได้ดูตลอด เพราะถนนหนทางมีมากสายและยาวๆ ทั้งสิ้น จะเห็นได้ทีเดียวว่าเมื่อสมัยสองพันปีมาแล้วเขาก็ศิวิลัยซ์ ไม่ใช่เล่น ถนนต่างๆ เป็นถนนหินทั้งสิ้น ไม่สู้กว้างนัก และมีบ่อน้ำสำหรับประชาชนตามข้างถนนเป็นระยะๆ สำหรับบ้านผู้มั่งคั่งนั้นใหญ่โตมาก มีสวนภายในบ้าน มีสระอาบน้ำ มีห้องต่างๆ มากมาย ประดับประดาด้วยหินสีต่างๆ สวยงาม มีโบสถ์วัด มีอนุสาวรีย์ ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำทางของเรายังได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่าโรงผู้หญิงคนชั่วก็มี เพราะมีป้ายของลามกติดอยู่ข้างถนนชี้ทางให้ไปทางนั้น นัยว่าพลเมืองเมืองนี้เมื่อยังเป็นเมืองมีอยู่ประมาณ ๒ หมื่นคน เมื่อดูบ้านเมืองร้างตลอดแล้วก็ได้เข้าไปดูในมิวเซียม เห็นคน สัตว์ต่างๆนอนตายเมื่อภูเขาไฟระเบิด แต่หินจับจนเป็นหินทั้งชิ้น คนก็ดีสุนัขก็ดีนอนงออยู่ทีเดียว เพราะหินร้อนของภูเขาไฟคงมาจับตัวในขณะไม่รู้ตัว
       เราไปรับประทานอาหารกลางวันที่โฮเต็ลใหญ่อยู่ถนนชายทะเล และอยู่กลางเมือง อาหารประจำชาติของชาวอิตาเลียนนั้นคือมักกะโรนี เหมือนกับเรารับประทานข้าวสำหรับมักกะโรนีนั้นเมื่อต้มเข้าแล้วก็คงเหมือนกันทุกแห่ง แต่ของอร่อยนั้นคือซอสหน้าต่างๆ ที่ใส่บนมักกะโรนี รสชาติความอร่อยอยู่ที่ซอสนี้ แล้วก็โรยเนยแข็งด้วย เราได้รับประทานอาหารนี้โอชารสมาก
       ตอนบ่ายไปดูที่ภูเขาไฟพบใหม่เรียกว่า Salfa tarra อยู่ไม่ห่างจากเนเปิลส์มากนักไปโดยรถยนต์ไม่นานก็ถึง เวลาเดินไปบนพื้นแผ่นดินที่เป็นภูเขาไฟนั้นใจชักไม่ค่อยดีเพราะรู้สึกทีเดียวว่าข้างใต้กลวงและเดือดพลุ่งๆอยู่ แต่เมื่อคนอื่นเขาเดินกันไปได้นับเป็นสิบๆปีมา ก็เห็นจะไม่เป็นอะไร เราได้เดินไปดูถึงปากภูเขาไฟและเห็นกำลังเดือดทีเดียว ตอนเย็นขี่รถยนต์ไปเที่ยวในเมืองดูสถานที่ต่างๆ โดยตลอด
       อันที่จริงเมืองเนเปิลส์นี้ไม่เลว ใหญ่โตครึกครื้นและสวยงามพอใช้ มีพลเมืองราวแปดแสนคน เขาว่าตั้งแต่มุสโสลินีเข้ามาเผด็จการบ้านเมืองสะอาดและเจริญขึ้น
       กลางคืนวันนั้นเมื่อเสด็จในกรมและท่านหญิงเข้าห้องบรรทมแล้ว พวกเรา คือเจ้าคุณอภิบาลฯ และคุณหญิงรื่น เจ้าคุณสรรพกิจฯ และบรูนา ข้าพเจ้า และรีนา (น้องสาวบรูนา) ซึ่งมา รับพี่สาวที่เมืองนี้ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ไปเต้นรำตามสถานที่ต่างๆ อยู่ด้วยกันจนดึก รีนาเป็นผู้หญิง อิตาเลียนที่สวยมาก เสียแต่พูดอังกฤษไม่ได้ พูดได้แต่ภาษาอิตาเลียนและภาษาฝรั่งเศสเล็กน้อย เลยทำให้หมดสนุกไปหน่อย บรูนาอยากให้ข้าพเจ้าชอบรีนามากๆ จะได้แต่งงานกับเขาแล้วพามาเมืองไทย ตัวบรูนาจะได้ไม่หงอยในภายหน้า
       รุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ เช้าก็ได้ไปเที่ยวในเมืองอีกครั้งหนึ่ง ตอนบ่ายเรือออก เจ้าคุณ อภิบาลฯ และคุณหญิงตามเสด็จไปในเรือเพื่อไปส่งที่เยนัว คืนวันนั้นข้าพเจ้าได้แสดงความกล้าหาญเข้าเล่นโปเกอร์กับพวกขาใหญ่ๆ แต่เล่นอย่างระวังที่สุด ผลที่สุดก็คงเสียไปเล็กน้อย
       พลเมืองชาวอิตาเลียนคิดเฉลี่ยโดยทั่วๆไปรูปร่างไม่สู้ใหญ่โตนักและผิวเนื้อค่อนข้างคล้ำ เพราะอยู่ในประเทศที่ไม่หนาวจัดทีเดียว และมีแดดมาก สำหรับผู้หญิงเวลาสาวๆ ค่อนข้างสวย แต่จะเป็นด้วยเหตุใดไม่ทราบพอแก่ตัวลงมักจะอ้วนและมักจะมีหนวด ชาวอิตาเลียนชอบรับประทานของรสจัดและมีกลิ่นเหม็น เช่นกระเทียมและหัวหอมเป็นต้น
       เครื่องแบบของทางราชการอิตาเลียน เช่นทหารเหล่าต่างๆ ศุลการักษ์ เจ้าหน้าที่อื่นๆ โดยมากค่อนข้างสวย ดูคล้ายๆเครื่องแบบเสือป่าของเราในสมัยพระมงกุฎเกล้าฯ ดูเจริญตาดี
       วันที่ ๑๓ เช้า เรือถึงเยนัว มีกงศุลสยามซึ่งเป็นชาวอิตาเลียน และหลานสาวมารับที่เรือนำช่อดอกไม้มาถวายท่านหญิง ครั้นแล้วก็เชิญไปรับประทานอาหารกลางวันที่มารับที่ Porto Fine อยู่บนเขาชายทะเลห่างจากเยนัวหลายกิโลเมตร เมื่อรับประทานเสร็จแล้วได้ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก ตอนบ่ายได้ไปดูสถานที่สำคัญและสวยงามของเมืองเยนัวหลายแห่ง แต่ที่น่าดูมากก็คือสถานที่ฝังศพและเผาศพ ซึ่งเป็นสถานที่ใหญ่โตมาก ทำเป็นที่คล้ายๆ กับเป็นสวนบางตอน บางตอนเป็นอาคารใหญ่มีบันไดหินอ่อนขึ้นไปสูง ใต้บันไดแต่ละขั้นนั้นเป็นที่ไว้ศพทั้งสิ้น มีชื่อติดอยู่ที่พนักข้างๆ นัยว่าใต้บันไดหินอ่อนนี้เขาเก็บค่าฝังศพแพงมาก สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่ สวยงาม และมีชื่อเสียง เขาว่ากันว่าผู้ที่ผ่านมา เมืองเยนัวถ้าผู้ใดไม่ได้มาชมสถานที่นี้ก็เหมือนกับว่ายังไม่เคยมาเมืองเยนัว สำหรับที่เผาศพทำเป็นเตามีทั้งใช้ไฟฟ้าและไฟแก๊ส ถ้าเปิดไฟอย่างแรงแล้วพึ่บเดียวก็ไหม้หมด แต่ถ้าต้องการเก็บกระดูกไว้เขาก็เปิดไฟอย่างอ่อน เผาไปจนเหลือแต่กระดูก เมื่อได้ชมที่นี่เสร็จแล้ว ตอนเย็นกงสุลเชิญไปรับประทานน้ำชาที่บ้านเขาซึ่งค่อนข้างใหญ่ อยู่บนเนินเขา ออกนอกเมืองไปหน่อยหนึ่ง เขารับรองเต็มที่ มีหลานสาวสองคนหน้าตาสวยทั้งคู่
       กลางคืนเมื่อเสด็จในกรมและท่านหญิงเข้าบรรทมแล้ว พวกเรา คือเจ้าคุณและคุณหญิงอภิบาลฯ เจ้าคุณสรรพกิจ บรูนา และข้าพเจ้าก็ออกเที่ยวดูเมือง และไปเต้นรำกันอีกอย่างสนุก
       เมืองเยนัวนี้เป็นเมืองใหญ่และเป็นเมืองท่าสำคัญของอิตาลี เป็นเมืองอุตสาหกรรม และเป็นเมืองเก่าแก่ มีความสำคัญในประวัติศาสตร์เหมือนกัน
       วันที่ ๑๔ ตุลาคม เช้าออกไปเที่ยวในเมืองอีก ตอนบ่ายเรือออก กลางวันนั้นจัดแจงเตรียมข้าวของ ฯลฯ เพราะรุ่งขึ้นจะถึงมาเซลส์แล้ว
       ตอนถึงเมืองเยนัวนี้ รู้สึกว่าเสด็จในกรมทรงพอพระทัยในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ที่ข้าพเจ้าทราบดังนี้ก็เพราะคนใช้หญิงได้มาเล่าให้ฟังว่า ท่านได้รับสั่งชมเชยลับหลังข้าพเจ้ามากมายต่อท่านหญิงว่าคล่องและดีต่างๆ

๑๑๕. ถึงประเทศฝรั่งเศส

       วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๗๓ เรือถึงมาเซลส์มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองกงสุลสยาม (ชาวฝรั่งเศส) และหลวงประเสริฐไมตรี จากสถานทูตปารีสมารับ ข้าพเจ้าต้องเหน็จเหนื่อยตามเคย คือต้องรับแขก นอกจากนั้นต้องจัดเรื่องรางวัลคนรับใช้ในเรือ เรื่องหีบและกระเป๋า การตรวจของ และเงิน ฯลฯ เรื่องการให้รางวัลคนรับใช้ในเรือนี้หนักใจข้าพเจ้ามาก สำหรับตัวข้าพเจ้าเองไม่เป็นปัญหาประการใด คือให้คนรับใช้ห้องนอนและห้องอาหารคนละปอนด์พอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เช่น คนขัดรองเท้าคนประจำห้องน้ำเหล่านี้ก็ลดลงมาตามส่วน แต่สำหรับเสด็จในกรมได้เสด็จไปอย่างเจ้านายการรางวัลต้องสูงขึ้นเพื่อให้สมพระเกียรติ แต่จะรางวัลเพียงใดจึงจะเหมาะสมนี้เป็นเรื่องพิจารณายาก ถ้าให้น้อยไปเขาก็ดูถูกเจ้านายไทย ครั้นจะให้มากไปก็เป็นการเกินควรนอกจากนั้นสำหรับเสด็จในกรมแล้วยังควรต้องรางวัลพวกเจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าอีกด้วย
       เมื่อขึ้นบกแล้วได้ไปพักที่ Hotel de Noaillcs หนึ่งวัน เมืองมาเซลส์นี้ข้าพเจ้าเคยผ่านมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ จึงรู้จักเมืองอยู่บ้าง บ่ายวันนั้นก็ได้เที่ยวชมเมืองกันโดยตลอด ไปดูร้านขายของต่างๆ และได้ขึ้นรถยนต์ไปชมโบสถ์ (Notre Dame) บนภูเขาสูงด้วย ซึ่งเป็นที่สำคัญแห่งหนึ่ง ใครมาเมืองนี้ต้องไปชมที่นั้น
       ระหว่างเดินทางมาในเรือ กัปตันได้เชิญเสด็จในกรม ท่านหญิง และข้าพเจ้าไปรับประทานน้ำชาบน Bridge Deck ครั้งหนึ่ง และได้พาดูกิจการของการเดินเรือต่างๆ เช่นการแผนที่ การสั่งงาน การถือท้ายเรือ ฯลฯ ส่วน Activities ในเรือมีหลายครั้ง เช่นคืนหนึ่งมีงานเรียกว่า "วันคนจน" (Poor Man's Party) คนโดยสารแต่งตัวกันเป็นคนจนทั้งนั้น ใครแต่งเป็นคนจนได้แปลกมากกว่าก็ได้รับรางวัล คืนวันนั้นสนุกดี มีคนแต่งเป็นคนขอทาน แขกยาม และคนจนประเภทต่างๆขบขันดี บางคนแต่งเสียจนเราจำแทบไม่ได้ ข้าพเจ้าแต่งเป็นชาวนาไทยโดยเสด็จในกรมให้ยืมผ้าลายของท่านมาให้แต่ง ค่ำวันนั้นในห้องรับประทานอาหารก็ใช้เทียนไขแทนไฟฟ้า ผ้าปูโต๊ะก็ใช้อย่างคนจนใช้ คือขาดๆวิ่นๆ จานและช้อนส้อมก็ใช้ของเก่าๆ บ๋อยเดินโต๊ะก็แต่งตัวอย่างโรงกินข้าวสำหรับคนจน แสดงให้เห็นว่าพวกอเมริกันชอบเล่นของแปลกๆ อีกคราวหนึ่งมี Fancy Dress Ball วันนี้ตรงกันข้ามแต่งตัวกันสวยๆ ข้าพเจ้าได้แต่งตัวอย่างสุภาพบุรุษไทย คือนุ่งผ้าม่วง สวมถุงเท้ารองเท้าเต็มที่
      วันที่ ๑๖ เช้า ออกจากมาเซลส์โดยรถไฟ ค่ำวันนั้นถึงกรุงปารีส มีเจ้าคุณวิชิตวงศ์ฯ อัครราชทูต และข้าราชการสถานทูต และนักเรียนมารับกันมาก ครั้นแล้วก็ได้ไปพักที่สถานทูต ซึ่งตั้งอยู่ที่ ๘ Rue Greuze ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้กลับมาเห็นกรุงปารีสอีก เพราะเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ ได้มาพักเที่ยวอยู่เดือนเศษรู้สึกว่าเป็นเมืองที่สวยงามและสนุกสนานมาก
       ระหว่างวันที่ ๑๗ ถึง ๒๑ ตุลาคม นอกจากตามเสด็จเที่ยวดูบ้านเมืองแล้วก็มีการซื้อข้าวของ จัดการเรื่องเงินทอง ไปหาแพทย์ผู้วิเศษ (Dr. Lemaitre) นายแพทย์เบอร์หนึ่งในกรุงปารีสในเรื่องโรคคอ เพื่อตรวจดูพระศอเสด็จในกรม นับว่าเป็นธุระหนักประจำวันอยู่ทุกวันตั้งแต่เช้าจนเย็น ข้าพเจ้าไม่ได้มีเวลาว่าง และไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนส่วนตัวเลย

๑๑๖. ไปประเทศอังกฤษ

       วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๗๓ เช้า ออกเดินทางจากกรุงปารีสไปกรุงลอนดอนโดยรถไฟสาย Golden Arrow รถไฟสายนี้เร็วและให้ความสะดวกมาก เช่นเวลาเปลี่ยนจากรถไฟไปลงเรือข้ามแชแนลที่คาเลส์ หรือขึ้นจากเรือไปขึ้นรถที่โดเวอร์อีกนั้น รถไฟเทียบที่ท่าเรือทีเดียว คือลงจากรถไฟเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงเรือ ขึ้นจากเรือเดินอีกไม่กี่ก้าวก็ขึ้นรถไฟเรือก็วิ่งเร็วมาก ในเรื่องตรวจของของเจ้าพนักงานภาษีก็ได้รับความสะดวก คือยอมให้ขนของไปได้ก่อน แล้วไปตรวจบนรถไฟ โดยมีเจ้าหน้าที่ของรถไฟมารับกุญแจหีบจากเราเจ้าหน้าที่ของรถไฟนี้เขาต้องเลือกคนที่ไว้วางใจได้อย่างดี เพราะเอากุญแจไปเปิดหีบของเรา จะหยิบอะไรไปบ้างก็ได้ เราก็ไว้ใจเขามาก สำหรับค่าโดยสารรถไฟ สายนี้ค่อนข้างแพงมาก แพงกว่าไปเรือบินเสียอีก เย็นวันนั้นถึงกรุงลอนดินมีหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ อัครราชทูต ข้าราชการสถานทูต และนักเรียนมารับเสด็จกันมากได้ไปพักที่แพเลซโฮเต็ล ซึ่งอยู่ติดกับไฮด์ปาร์ก ระยะทางจากกรุงปารีสไปกรุงลอนดอนโดยทางสายนี้ประมาณ ๒๘๕ ไมล์ คือลงเรือที่คาเลส์ไปขึ้นที่โดเวอร์
        ระหว่างพักอยู่ลอนดอนตั้งแต่วันที่ ๒๓ ตุลาคม ถึงวันที่ ๒๘ ไม่ได้มีเวลาส่วนตัวเลย ต้องตามเสด็จและอยู่รับใช้ตลอดวันจนถึงเวลานอน นอกจากเสด็จดูบ้านเมืองแล้วก็ทรงซื้อของ ไปหาแพทย์ทำฟัน และแพทย์วิเศษ (Sir St. Claire Thompson) ตรวจพระศอ ข้าพเจ้าต้องตามเสด็จทุกแห่ง และยังต้องจัดเรื่องเงินทองและเรื่องอื่นๆ อีก ทางสถานทูตได้มอบให้หลวงสวัสดิ์ฯ เลขานุการโทมารับใช้ แต่ท่านไม่สนิทด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างโปรดให้ข้าพเจ้าทำ ระหว่างพักอยู่ ลอนดอนนี้ ได้มีโอกาสพบกับเจ้าคุณรามฯ ประจวบและรุจิราครั้งหนึ่ง อันที่จริงบ้านที่พักก็อยู่ไม่ไกลจากโฮเต็ลนัก แต่ไม่ค่อยมีเวลา
        Prince George พระราชโอรสองค์เล็กของพระเจ้าแผ่นดินได้ส่งการ์ดมาเชิญไปในงานเต้นรำวันหนึ่ง แต่เราไม่ได้ไป เสด็จในกรมและท่านหญิงได้เสด็จถ่ายรูป นอกจากนั้นก็ได้รับหนังสือเชื้อเชิญจากห้างร้านต่างๆ ให้ไปชมและซื้อของหลายสิบแห่ง
        การที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตามเสด็จมาครั้งนี้ รู้สึกว่าได้สนิทสนมกับเสด็จในกรม พระจันทบุรีฯ นี้เป็นอันมาก เมื่ออยู่กรุงเทพฯ ก่อนออกเดินทางมานี้ คนโดยมากก็รู้สึกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโปรดของท่านอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ท่านเริ่มโปรดปรานข้าพเจ้ามากเมื่อตอนเดินทางมาด้วยกันนี้ เช่นเวลาเดินทางมาในเรือ ท่านได้ปรารภเรื่องสำคัญของท่านทั้งส่วนตัวและราชการให้ฟังอย่างไว้วางใจหลายเรื่อง และวันหนึ่งเวลาที่เราเดินอยู่ตามถนนในกรุงลอนดอนนี้ ท่านยังรับสั่งอีกว่า "เราจะต้องหาโอกาสมาอีกให้ได้ทุกๆ ๕ ปี แล้วแกจะต้องมากับฉันอีก
        กรุงลอนดอนนี้ ข้าพเจ้าเคยมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ ได้มาพักอยู่ ๒-๓ อาทิตย์ มาคราวนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก กลางคืนทุกๆคืน หรือวันอาทิตย์ก็ยังเงียบ ตามเคย แต่กรุงนี้ใหญ่โตมาก ผู้คนเป็นระเบียบเรียบร้อย สถานที่สำคัญมีหลายแห่ง เช่น Buckingham Palace, House of Parliament, Westminster Abbey, Piccadilly Circus, Trafalgar Square เป็นต้น ถนนในกรุงนี้สำหรับคนไม่ชำนาญแล้วหลงเก่งเพราะคดไปคดมา รถ Taxi ที่นี่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง คงใช้รูปสมัยโบราณ แม้จะเป็นรถที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ก็ทำรูปร่างอย่างโบราณนั้นเอง รู้สึกว่าอังกฤษนี้ Conservative มากในทุกๆ อย่าง สำหรับรถใต้ดินถ้าคนไม่รู้จักทางแล้วจะไปไหนเป็นต้องหลงทางแน่
        ระหว่างพักอยู่กรุงลอนดอน ๖ วันเต็มๆ นี้ ข้าพเจ้าไม่ได้มีโอกาสปลีกตัวไปไหนเลย นอกจากสองครั้ง ครั้งหนึ่งไปเยี่ยมเจ้าคุณรามฯ และประจวบราวหนึ่งชั่วโมง อีกครั้งหนึ่งทูลลาไปดู Automobile Show ซึ่งอยากดูเหลือเกินอีกราวหนึ่งชั่วโมง นอกจากนั้นต้องประจำอยู่กับท่านทั้งกลางวันกลางคืน วันหนึ่งหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ได้จัดให้มีการเลี้ยงน้ำชาที่สถานทูต โดยเชิญนักเรียนไทยและผู้ที่คุ้นเคยกับเมืองไทยมาร่วมงาน

๑๑๗. กลับไปพักที่กรุงปารีส

       วันที่ ๒๐ เดินทางกลับปารีสโดยรถสาย Golden Arrow อีก ถึงปารีสเย็นวันนั้น ไปพักที่สถานทูต ตลอดเวลาที่ทรงพักอยู่สถานทูตนั้น ทรงออกค่าอาหารให้ทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนจ่ายเงิน
        กรุงปารีสนี้มีคนยกย่องว่าเป็นกรุงที่สวยงามและสนุกสนานมาก ดั่งที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวมาแล้ว แม่น้ำ Seine ผ่านกลางเมือง มีสะพานงามๆ ข้ามหลายสะพานถนนหลายสาย เป็นถนนกว้างใหญ่มีต้นไม้สองข้างทาง ที่งามมากก็คือถนน Champs Elysees จาก Arc de la Triomphe มีโฮเต็ล โรงเต้นรำ โรงภาพยนตร์ ร้านขายของ Caf? ฯลฯ สองข้างทาง ทางเดินเท้ากว้างมาก หน้า Caf? มักจะตั้งโต๊ะเก้าอี้ตามทางเดินเท้า มีคนแต่งตัวสวยๆ มานั่งดื่มเหล้าและกาแฟเต็มๆ อยู่เสมอ อากาศที่ปารีสนี้ค่อนข้างสบายมาก ครึ้มๆ ตลอดเวลา แดดไม่เคยจัด สถานทูตไทยตั้งอยู่ใกล้กับ Place de Trocadero ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง ถนนอีกสายหนึ่งซึ่งเราไปเสมอก็คือ Grande Boulevard จาก Madeleine ไป Opera House ซึ่งมีร้านขายของมาก ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งก็คือ Tour Eiffel ซึ่งเป็นโครงเสาเหล็กตั้งขึ้นไปสูงมาก ข้าพเจ้าได้เคยขึ้นไปจนถึงยอด มองดูปารีสทั้งกรุงงามมาก ส่วนสถานที่สนุกก็มีอยู่ทั่วกรุงปารีส แต่ที่มีโรงเต้นรำและโรงมหรสพมาก มีอยู่สองตำบลคือ Montmarte และ Montparnasse ตำบลหลังนี้พึ่งจะมีชื่อเสียงขึ้น แต่ก่อนก็มีแต่ Montmarte
        ข้าพเจ้าได้ตั้งต้นเรียนภาษาฝรั่งเศส โดยจ้างครูมาสอนพิเศษ อันที่จริงภาษาฝรั่งเศสนี้ได้เคยเรียนมามากแล้วเมื่อครั้งเป็นนักเรียน แต่ก็ลืมไปเสียบ้าง และไม่เคยพูดหรือฟังเขาพูดเร็วๆ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้าอ่านหนังสือก็พอเข้าใจได้ดี
        พฤศจิกายน ๒๔๗๓ (อายุได้ ๒๖ ปี ๖ เดือนเศษ) ได้เลื่อนยศเป็นอำมาตย์โท โดยที่ตำแหน่งและเงินเดือนอยู่ในชั้นนี้แล้ว ในเดือนนี้ที่สถานทูตไทย เสด็จในกรมทรงเลี้ยงน้ำชา ข้าราชการและนักเรียนไทยในกรุงปารีส เพื่อทำความรู้จักและคุ้นเคยวันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าต้องเป็น ผู้จัดงานนี้ขึ้น
        นายแพทย์ได้ทำการตรวจพระศอและแนะนำว่าควรได้ทำการผ่าตัด เพื่อเอาเนื้อร้ายออกให้หมดก่อน แล้วต่อจากนั้นก็ให้ฉายเอ๊กซเรย์อีกประมาณ ๒๐ ครั้ง เข้าใจว่าอาจหายขาดได้ เสด็จในกรมทรงเห็นชอบด้วยจึงได้กำหนดวันไปอยู่โรงพยาบาลและทำการผ่าตัดนี้ เมื่อถึงวันผ่าตัดข้าพเจ้าได้ไปยืนอยู่หน้าห้องทำการผ่าตัด ได้กลิ่นยาสลบออกมาทางรูกุญแจ ดูเหมือนข้าพเจ้าจะสลบไปก่อนเสด็จในกรม คือรู้สึกมึนเวียนคลื่นไส้ ต้องรีบไปแอบนอนที่ห้องว่างแห่งหนึ่ง เหงื่อออกโทรม มองดูในกระจกหน้าข้าพเจ้าซีดและเป็นสีเขียวทีเดียว ต้องนอนพักอยู่สักครู่ใหญ่ๆ จึงได้ค่อยยังชั่วขึ้น
        ข้าพเจ้าพึ่งจะได้รู้สึกถึงความสำคัญของคอในร่างกายของคน คือเป็นที่เล็กแต่มีส่วนสำคัญของชีวิตเดินผ่าน เช่นช่องหัวใจ ช่องอาหาร เส้นประสาท เดี่ยวกับสมอง ฯลฯ นายแพทย์ที่ต้องทำการผ่านตัดคอใครแล้วต้องเก่งจริง ถ้ามิฉะนั้นไปตัดอะไรเข้าสักเส้นหนึ่งก็ถ้าจะตายเลย เสด็จในกรมทำการผ่าตัดแล้วได้พักอยู่โรงพยาบาลนั้นประมาณ ๒๐ กว่าวัน ซึ่งข้าพเจ้าต้องไปประจำอยู่ตั้งแต่เช้าจนค่ำทุกวัน พอแผลหายสนิทก็เสด็จกลับไปพักที่สถานทูต
        ระหว่างนี้ รู้สึกว่าท่านค่อยยังชั่วขึ้นมาก จึงโปรดเสด็จเสวยอาหารกลางวันข้างนอก คือในปารีสมีร้านขายอาหารต่างๆ มากมาย ร้านหนึ่งก็มีอาหารพิเศษของเขาอย่างหนึ่ง เช่น ร้านหนึ่งมีอาหารพิเศษสำหรับอาหารทะเล คือ ปลา หอย กุ้ง ปู ฯลฯ อีกร้านหนึ่งมีอาหารพิเศษเฉพาะเป็ด อีกร้านหนึ่งลูกหมู อีกร้านหนึ่งไก่ อีกร้านหนึ่งไข่ อีกร้านหนึ่งเครื่องแป้งต่างๆ ฯลฯ เป็นต้น แต่ละแห่งเขาก็ปรุงอาหารพิเศษของเขานี้อร่อยจริงๆ เสียด้วย เราเที่ยวไปรับประทานอาหารพิเศษของร้านต่างๆ เหล่านี้ทุกวัน ร้านต่างๆ เหล่านี้มีหลายสิบร้าน
        มีสิ่งที่แปลกอยู่ในประเทศฝรั่งเศสอย่างหนึ่ง คือ ในร้านรับประทานอาหารเขาไม่มีน้ำเปล่าให้รับประทาน เขาให้ซื้อเหล้า wine รับประทานแทนน้ำ ผู้ที่ไม่ชอบ wine อยากรับประทานน้ำก็ต้องรับประทานน้ำแร่ซึ่งมีราคาขวดละ ๒ แฟรงค์ แต่รสชาติของน้ำแร่บางชนิดก็ดูเหมือนจะไม่ผิดกับน้ำเปล่านั้นเอง นอกจากจะมีส่วนอะไรในน้ำทำให้ร่างกายของเราดีขึ้นอย่างไรนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ
        ในระหว่างนี้พระองค์เจ้าอาทิตย์ได้เสด็จออกไปรักษาพระองค์ในยุโรป และได้ไปพบกันที่กรุงปารีส ค่ำวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เชิญท่านไปรับประทานอาหารที่สถานที่หรูแห่งหนึ่งพร้อมทั้งคุณกอบแก้ว สถานที่นี้ชื่อร้านเป็นรัสเซียน และมีอาหารรัสเซียน มีดนตรี และระบำรัสเซียน ที่นีมีไข่ปลา (คาวิอาร์) อร่อยมาก ไข่ปลานี้นิยมกันว่าเป็นอาหารที่หรูและราคาค่อนข้างแพง รับประทานเสร็จดูคาบาเรต์สักครู่ใหญ่ๆ ก็เสด็จกลับเพราะหมอห้ามมิให้ท่านนอนดึก
        เจ้าคุณวิชิตวงศ์ฯ มีบุตรีคนหนึ่งชื่อกมลา เป็นเด็กน่าเอ็นดูมาก Popular กับนักเรียนไทยและฝรั่ง ไปอยู่ประจำกับครอบครัวและเรียนหนังสือที่แวไซล์ แต่ก็ได้กลับมาสถานทูตเสมอ ที่น่าเอ็นดูอีกคนหนึ่งก็คือ ม.ร.ว. จันทรัต เทวกุล ธิดากรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ซึ่งเป็นหลานท่านหญิงอัปษรสมาน เรียนหนังสืออยู่ในปารีส มาเฝ้าเสด็จในกรมและท่านหญิงเสมอ รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่ดีมาก อ่อนโยนและเรียบร้อย
        ตัวข้าพเจ้าต้องรับใช้อยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวเลยตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ การมาพักอยู่ที่ปารีสนี้จะมีเวลาส่วนตัวก็เวลาเสด็จเข้าบรรทมแล้วราว ๔ ทุ่มเศษ ตอนนี้ก็ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวเต้นรำ และไปสถานคาบาเรต์ต่างๆ บ้าง บางคืนเจ้าคุณวิชิตวงศ์ฯ ชวนไปเดินเล่น ออกจากสถานทูตไปทางถนน Champs Elysees แล้วมักจะเข้าไปเล่น Midget Golf ในที่ต่างๆ คือในสมัยนั้นกำลังนิยมกอล์ฟเล็กนี้ มีที่ไปเล่นหลายสิบแห่งที่ที่เราไปเล่นโดยมากอยู่ในอาคารใหญ่ๆ อยู่ชั้นล่าง เขาทำสวยมาก มี ๑๘ หลุม มีข้ามลำธารเล็ก ข้ามสะพาน ข้ามทางวิบาก ฯลฯ แล้วมีคนเก็บลูกเป็นผู้หญิงสวยๆ แล้วแต่เราจะเลือก เล่นเสร็จแล้วเราก็นั่งคุยกันพลาง รับประทานอะไรบ้างเล็กน้อย ประมาณสองยามหรือตีหนึ่งก็เดินกลับสถานทูต สบายใจดีเหมือนกัน
        ธันวาคม ๒๔๗๓ ได้เลื่อนเงินเดือนรอบปี ๒๐ บาท เป็นเดือนละ ๔๒๐ บาท
        ได้มีโอกาสไปรู้จักกับผู้หญิงสาวอเมริกันคนหนึ่ง น่ารักมาก ชื่อ "จัสติน" เป็นชาวบอสตันจากครอบครัวผู้ดี บิดามารดาส่งมาเรียนที่ปารีส เราได้เป็นเพื่อนที่ดีกันมากได้หาโอกาสไปเที่ยวด้วยกันเสมอ เวลาที่ไปไหนด้วยกันเราได้มาตกลงกันว่าเพื่อให้ภาษาฝรั่งเศสของเราดีขึ้น ให้พยายามพูดภาษาฝรั่งเศสกันเถิด แต่เมื่อพูดไปๆ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะดวก ผลที่สุดเลยต้องพูดภาษาอังกฤษ จึงได้มาตกลงกันใหม่ว่าให้เขียนจดหมายฝรั่งเศสถึงกันทุกวัน เล่าให้กันฟังว่าในวันนั้น ได้ทำอะไรบ้าง ตั้งต้นก็ท่าจะดี มาตอนหลังๆ เมื่อคิดคำฝรั่งเศสไม่ออกในเวลาเขียนก็ใส่ภาษาอังกฤษแทน ผลที่สุดก็เลยเป็นจดหมายภาษาอังกฤษทั้งฉบับ
        วันที่ ๒๒ ธันวาคม เจ้าคุณวิชิตวงศ์ฯ ได้จัดให้มีงานที่สถานทูต ได้เชิญแขกและ นักเรียนมามาก รวมทั้งพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ พระองค์เจ้าพีระพงศ์ และนักเรียนที่ข้ามมาเที่ยวจากประเทศอังกฤษด้วย มีเต้นรำและเลี้ยงอาหารว่างสนุกสนานดี
        วันที่ ๒๔ ธันวาคม Christmas Eve พวกเราหลายคนมีท่านขจรจบกิติคุณ ท่าน คัสตาวัส ท่านโกลิต ท่านหญิงกมล เถลิงเดช กมลา คุณจันทรัต และข้าพเจ้า ได้ไปเที่ยวกันอย่างสนุก ไปตามโรงเต้นรำต่างๆ หลายแห่งหลายตำบล เช่นถนนชองส์เอลิเซส์มองมาตร, มองปาร์นาส ฯลฯ แต่ละแห่งก็เต็มแน่นไปด้วยคน เวลาเราออกไปเต้นรำไปยืนเกาะกันอยู่ริมๆ พื้นเต้นรำ ไม่ต้องก้าวขาออกไปเลย สักครู่เดียวก็ถูกเบียดไปอยู่กลางพื้นได้ อย่างนี้ไม่ต้องเต้นรำเป็นก็ออกแสดงได้ แต่ทุกๆ คนดูเขาก็สนุกสนานกันดี คืนวันนั้นกว่าจะกลับถึงสถานทูตก็ภายหลังโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
        วันที่ ๓๑ ธันวาคม New year's Eve เราก็ได้ออกไปสนุกสนานกันอีก ผู้หญิงฝรั่งเศสไม่ค่อยจะถือกัน ในโรงเต้นรำต่างๆ เวลา ๒ ยาม ใครนั่งใกล้ใครจะจูบกันก็ได้โดยไม่ต้องรู้จักกันเลย เขาปิดไฟมืดตั้ง ๒ นาที คืนวันนี้เราก็ได้ไปเช่นเดียวกับคืนวันที่ ๒๔ สำหรับคืนวันส่งปีใหม่ในต่างประเทศเขาสนุกสนานกันมากทีเดียว ในเมืองไทยเราน่าจะได้จัดให้มีขึ้นอย่างนั้นบ้าง
        มีสถานที่เต้นรำแห่งหนึ่งอยู่บนถนนชองส์เอลิเซส์ แต่ต้องลงไปชั้นใต้ถุนเรียกว่า "ลิโด" ที่นั่นมีพื้นเต้นรำตอนหนึ่ง แล้วมีสระอาบน้ำอีกตอนหนึ่ง คนอาบน้ำก็เห็นคนเต้นรำและได้ฟังเพลงเต้นรำ คนเต้นรำก็เห็นคนอาบน้ำ การแสดงสลับฉากของเขานอกจากที่จะมีอะไรต่ออะไรบนเวทีเต้นรำแล้ว บางตอนเขาปิดไฟมืดแล้วทำเป็นคืนเดือนหงายในเมืองเวนีช คือมีเรือกอนโดลามาพายในสระน้ำนั้น มีผู้ชายร้องเพลง ดีดกีตาร์ แล้วมีผู้หญิงยืนบนสะพานสูง ทำอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์น่าดูมาก ข้าพเจ้าได้ไปในที่นี้หลายครั้งไปกับ "จัสตีน" บ้าง กับกมลาบ้าง กับเจ้าคุณและคุณหญิงอภิบาลฯ เวลาท่านมาปารีสบ้าง ไปเดี่ยวบ้าง ที่นี่มีทั้งเต้นรำเวลาน้ำชาและเต้นรำกลางคืน โรงเต้นรำชั้นดีในฝรั่งเศสมักจะมีดนตรีสองวงเล่นสลับกัน วงหนึ่งเล่นแทงโก อีกวงหนึ่งเล่นเพลงจังหวะอื่นๆ
        มกราคม รู้สึกว่าเสด็จในกรมทรงพระสำราญขึ้น พวกเราดีใจ โดยมากออกเสวยอาหารกลางวันตามสถานที่ต่างๆ เช่นอย่างคราวก่อน ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทรงพระสำราญมากขึ้น จึงคิดออกหนังสือพิมพ์รายวันในสถานทูต ข้าพเจ้าเป็นบรรณาธิการและเขียนเองนักเรียนต่างๆ เป็นผู้สื่อข่าว ใครมีเรื่องอะไรอย่างใดต้องมารายงาน แล้วข้าพเจ้าก็เขียนขึ้นให้ขบขันโดย Exaggerate เรื่องให้มากๆ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกเวลารับประทานอาหารเย็น ข้าพเจ้าอ่านในโต๊ะกินข้าว แล้วก็นั่งฮากันครืนๆ โดยมากเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลต่างๆ ที่นั่งในโต๊ะกินข้าวกันนั้นเอง รู้สุกว่าทุกๆคนชอบหนังสือพิมพ์นี้มาก เพราะกระทบกระแทกทุกๆ คนตั้งแต่เจ้าคุณทูตลงมา หนังสือพิมพ์นี้แบ่งแยกเป็นแผนกต่างๆ เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์จริงๆ มีแผนกข่าวซึ่งมีเรื่องใครไปนัดพบกับใคร ที่ไหน หรือใครไปแอบทำอะไรแล้วพยายามปิดไม่ให้ใครรู้ หรือใครไปเป็นที่ไหนมาบ้าง ในการพูดภาษาฝรั่งเศสหรือในเรื่องอื่นๆ แผนกนี้ขบขันมาก เพราะบางคนไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องของเขามาแฉโพยในที่นี้ อุตส่าห์เก็บไว้เป็นความลับ แต่พวกสื่อข่าวของเราเก่งมาก นอกจากนั้นมีแผนกกีฬาคือที่สถานทูตมีการแข่งขันปิงปองกัน เราก็ให้ชื่อผู้เข้าแข่งขันต่างๆ เป็นแชมเปี้ยนแทนนิสของชาติต่างๆ เช่นอเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รวมทั้งจีนด้วย ฯลฯ แล้วก็มีรายงานประจำวันเล่าถึงการแข่งขันโดยเขียนขึ้นให้ขบขัน มีแผนกการเงิน คือ ที่สถานทูต มีเล่นไพ่กันทุกวัน เราก็ให้ผู้เล่นนั้นเป็นธนาคารต่างๆ เช่น Bank of England, Bank of France, Bank of China, Bank of Austria, ธนาคารไทย ฯลฯ วันไหนใครได้ก็แปลว่าฐานะของธนาคารนั้นดี ใครเสียมากก็บอกว่า Critical หรือเกือบจะล้มละลาย ฯลฯ แล้วหนังสือพิมพ์นี้ยังมีแผนกทางพงศาวดารจีนอีก แผนกนี้ยุ่งหน่อยเพราะต้องแต่งเรื่องเอาเองบ้าง เอาเรื่องจริงเกี่ยวกับนักเรียนหญิงชายของเราบ้างมาผสมกันให้ขบขัน วันไหนข้าพเจ้าเขียนไม่ทันก็ถูกปรับโดยไม่ให้รับประทานอาหารเย็น จนกว่าจะได้เขียนอะไรมาอ่านบ้างนิดหน่อยก็เอาดี

๑๑๘. ไป "กีฬาฤดูหนาว" ที่ St Moritz (รูปภาพ ๑), (รูปภาพ ๒), (รูปภาพ ๓)

       ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เสด็จในกรมทรงปรารภใคร่จะได้ไปเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส ได้ให้ข้าพเจ้าจัดการ ข้าพเจ้าจึงได้จัดทำโปรแกรมขึ้นถวาย โดยเลือกไปเมืองเซนต์มอริตซ์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากสำหรับกีฬาในฤดูหนาว มีดาราภาพยนตร์จากอเมริกาและเศรษฐีและผู้คนไปกันมาก เมื่อทรงเห็นชอบด้วยแล้วเราก็เตรียมตัวอยู่ ๒-๓ วัน แล้วก็ออกเดินทาง ผู้ตามเสด็จมีท่านหญิงอัปษรสมาน ท่านขจร และข้าพเจ้า การเดินทางโดยรถไฟจากปารีสผ่านเมืองเบเซิลและซูริค แล้วต้องเปลี่ยนรถไฟไปขึ้นรถไฟขึ้นภูเขาแห่งหนึ่งจำชื่อเมืองไม่ได้ เมื่อถึงเมืองเซนต์มอริตส์แล้ว เราได้ไปพักที่แกรนด์โฮเต็ล ซึ่งเป็นโฮเต็ลที่หรูและใหญ่ที่สุดในเมืองนี้
        Service ในโฮเต็ลในประเทศสวิสเซอร์แลนด์นี้ดีเหลือเกิน ให้ความสะดวกต่อผู้ไปพักอยู่มาก เขาว่ากันว่าดีที่สุดในโลก คนใช้แต่งตัวสะอาด แล้วพูดได้ทุกภาษา จะสูบบุหรี่ก็คอยจุดไม้ขีดไฟให้ หาที่เขี่ยบุหรี่ให้ ฯลฯ ของเครื่องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างสะอาด ในระหว่างที่พักอยู่นี้เราได้ไปดูการกีฬาทุกอย่างที่เขามี เช่นได้ไปดูการแข่งม้า ซึ่งสนามแข่งเป็นน้ำแข็ง หน้าร้อนสนามม้านี้ก็กลายเป็นทะเลสาบใหญ่โตมโหฬาร การแข่งม้านี้มีหลายอย่างด้วยกัน เช่นม้าลากรถ "สเลด" และม้าลากคนขี่ "สกี" เป็นต้น ได้ไปดูการแข่งขัน "สกี" ซึ่งน่าดูมาก คนใส่สกีไหลลงมาจากที่สูงแล้วลอยอยู่บนอากาศเป็นเวลานานๆ กว่าจะถึงพื้นดิน ได้ไปดูการแข่งขัน "สเลด" ซึ่งเขาทำทางเป็นพิเศษ จากที่สูงไปที่ต่ำ "สเลด" คันหนึ่งนั่งได้ ๔ คน เป็นทีมหนึ่ง น่าอันตรายมากเพราะมันวิ่งเร็วเหลือเกิน ความเร็วบางตอนกว่าชั่วโมงละ ๖๐ ไมล์ ถึงเวลาเลี้ยวน่ากลัวหลุดออกมาจากทาง นอกจากได้ดูการแข่งขันกีฬาต่างๆ แล้วเรายังได้ออกเล่น "สกี" และ "สเลด" เองหลายครั้งหลายหน บางวันเราได้ไปขี่ "สเล" ซึ่งมีม้าคู่เทียมไปเที่ยวหนทางไกลๆ ขึ้นเขาลงเขาสนุกดี
        ข้างหลังโฮเต็ลเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งใหญ่สำหรับคนในโฮเต็ลเล่นสเก็ตน้ำแข็งหรือไม่ก็อาจมีคนเล่นเก่งๆ มาแสดงให้ดู รอบๆ ลานสเก็ตน้ำแข็งนี้มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งสำหรับนั่งดูจะรับประทานหรือจะดื่มอะไรก็ได้ พวกคนใช้ก็เก่งมากวิ่งรับใช้โดยใส่สเก็ตน้ำแข็งคล่องแคล่วและ รวดเร็วเสียด้วย
        ในเวลากลางคืนมีเต้นรำในโฮเต็ล และมีการประกวดการเต้นรำกันด้วย การประกวดเต้นรำนี้คนดูเป็นผู้ตัดสิน ที่เมืองนี้แม้จะอยู่บนภูเขาสูงเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งก็ตาม แต่อากาศเวลากลางวันอุ่นมากเพราะแดดจัด ถูกแดดเผาไม่รู้สึกตัว ผู้ที่มาอยู่ที่นี่นานๆ สีเนื้อคล้ำกันโดยมาก แต่เวลากลางคืนหนาวจัดแม้เราอยู่ในห้องในโฮเต็ล ซึ่งมีหน้าต่างกระจกตั้ง ๒ ชั้นแล้วอากาศหนาวยังรั่วไหลเข้าไปได้ ถ้าออกไปเดินข้างนอกแล้วหนาวจัดจนไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างใด
        ผู้คนในเมืองนี้ชอบพูดภาษาต่างๆพร้อมๆกัน เช่นช่างถ่ายรูปข่าวจะขอถ่ายรูปพวกเรา เขาวิ่งมาดักหน้าเราแล้วร้องว่า "One moment, (อังกฤษ-ขอเวลาประเดี๋ยว) S' il vous Plait, (ฝรั่งเศส-ได้โปรดด้วย) Danker Schoen" (เยอรมัน-ขอบใจมาก) เป็นต้น คือเขาคงไม่ทราบว่าเราพูดภาษาอะไร เพราะฉะนั้นเขาพูดเสียทุกภาษานึกว่าเราคงจะเข้าใจอะไรบ้าง
        ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นี้เป็นประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่กลางในระหว่าง ๔ ประเทศ คือฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรีย และอิตาลี เป็นประเทศที่มีภูมิประเทศน่าเที่ยวและน่าไปพักผ่อนได้ทุกฤดู คือมีภูเขาสูงๆ มาก มีทะเลสาบขนาดต่างๆ มากมาย ว่าโดยธรรมชาติแล้วสวยงามทีเดียว อากาศสดชื่น บ้านเมืองสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย ภาษาของประเทศนี้ไม่มี ประชาชนใช้ภาษาเยอรมันราว ๖๕ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นใช้ภาษาฝรั่งเศสและอิตาเลียน เมืองใดอยู่ใกล้อาณาเขตประเทศใดก็พูดภาษานั้น

๑๑๙. ไปริเวียรา

       พักอยู่ที่เซ็นต์มอริตส์ ๕-๖ วัน ก็เดินทางไปยังเมืองนีซ (ฝรั่งเศสใต้) ต่อไปตอนออกจากเซนต์มอริตส์ขึ้นรถรางไฟฟ้าลงเขาวนไปเวียนมาอยู่หลายชั่วโมง จึงถึงตีนเขาเข้าเขตแดน อิตาลี รับประทานอาหารเย็นที่สถานีรถไฟ แล้วก็ขึ้นรถนอนต่อไป รถผ่านมิลานและเยนัวในตอนกลางคืน ถึงซานเรโมและเวนตามีเลียเช้ามืด แล้วก็เข้าแดนฝรั่งเศส อีกราวครึ่งชั่วโมงจากนั้นเราก็ถึงเมืองนีซได้ไปพักที่โฮเต็ลเนเกรสโค ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยมาพักครั้งหนึ่งเมื่อ ๕-๖ ปีมาแล้ว ความงามของเมืองนีซนี้รู้สึกว่าหาเมืองใดเมืองหนึ่งในยุโรปให้สวยเสมอเหมือนได้ยาก
        ระหว่างพักอยู่เมืองนีซนี้สนุกสนานมาก เพราะกำลังอยู่ในฤดูสนุกของเขา ภายใน ๑๐ วันที่พักอยู่นี้ นางงามของประเทศต่างๆ ในยุโรปทั้งหมดได้มาแสดงตัวที่นี่ มี Carnival มี Battle Flowers ฯลฯ และถ้าจะว่าถึงอากาศแล้วที่เมืองนี้สบายที่สุด ไม่ร้อนแต่ก็ไม่หนาว
        ว่าถึงการแสดงตนของนางงามของประเทศต่างๆ ในยุโรปนั้นมีดังนี้ คือในยุโรปประมาณ ๒๐ ประเทศ ได้มีการคัดเลือกนางงามส่งเข้าประกวด เพื่อรับตำแหน่งนางสาวยุโรป ซึ่งได้มีประกวดกันแล้ว จะเป็นเมืองใดจำไม่ได้ นางสาวฝรั่งเศสได้เป็นนางสาวยุโรป เมื่อได้ประกวดกันเสร็จแล้วนางงามต่างๆ นั้นก็ได้ไปแสดงตนตามเมืองต่างๆ และก็บังเอิญเป็นโชคของเราที่เขาเหล่านั้นได้มาแสดงตนที่เมืองนีซ ในระหว่างที่เราพักอยู่เมืองนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางงามทั้งหมดได้มาพักอยู่โฮเต็ลเดียวกับโฮเต็ลที่เราพักอยู่อีกด้วยคืนวันหนึ่ง ได้มีการเลี้ยงและมีการเต้นรำในโฮเต็ลเพื่อเป็นเกียรติยศแก่นางงามเหล่านั้น เสด็จในกรมจึงให้ข้าพเจ้าไปจัดจองโต๊ะ (รูปภาพ) และก็บังเอิญได้โต๊ะติดกับนางงามอีก จึงได้เห็นถนัดแทบทุกคน ตอนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นางงามทุกคนต่างออกมายืนกลางพื้นทีละคนเพื่อให้พวกเราทั้งหลายชม แล้วให้เกียรติยศโดยตบมือให้ อันที่จริงเขาสวยด้วยกันทุกคน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเต้นรำกับนางสาวเตอรกี ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเขาสวยมากที่สุด และเขายิ้มเสมอ สำหรับนางสาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นนางสาวยุโรป กับนางสาวเยอรมันรู้สึกกว่ามีคนชอบมาก คืนวันนั้นสนุกสนานดี
        "คาร์นิวาล" คือขบวนแห่ของรถแต่งเป็นรูปต่างๆ คนก็แต่งตัวต่างๆ ซึ่งการตบแต่งหลายอย่างต่างกันนี้คงมีความมุ่งหมายตามเรื่องของเขา และเขาได้จัดทำสวยงามมาก ขบวนแห่ไปตามถนนยาวริมทะเล ตั้งต้นตั้งแต่บ่ายไปจนถึงกลางคืน เสด็จในกรม ท่านหญิง, ท่านขจร, เจ้าคุณสรรพกิจ บรูนาและข้าพเจ้า ได้ไปรับประทานอาหารที่สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมองลงไปทางหน้าต่างแลเห็นการตอบแต่งไฟฟ้าเนื่องในงาน "คาร์นิวาล" นี้สวยงามมาก และก็มีขบวนแห่ตอนกลางคืนอีกด้วย คืนวันนั้นภายหลังรับประทานอาหารแล้ว เสด็จในกรมให้ข้าพเจ้าไปเที่ยวขอผู้หญิงต่างๆ เต้นรำเพื่อท่านได้ทอดพระเนตรเพราะการไปขอผู้ใดเต้นรำด้วยในประเทศฝรั่งเศสเขาไม่ถือกัน และเขาไม่รังเกียจคนต่างด้าว เมื่อได้เต้นรำกับผู้ใดเสร็จแล้วกลับมาที่โต๊ะทุกๆครั้ง ท่านก็ซักถามว่าเขาเป็นชาติอะไร พูดภาษาอะไรกัน คุยกันว่าอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นการพูดภาษาฝรั่งเศสกันแล้ว ท่านก็ถามข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสว่าอย่างไร ถ้าข้าพเจ้าพูดไปผิดท่านก็ช่วยบอกให้ว่าใช้คำผิด รู้สึกว่าท่านเอ็นดูและพอพระทัยที่ข้าพเจ้าทำอะไรต่ออะไรไป ทรงพระสรวลตลอดเวลา การไปเที่ยวขอเขาเต้นรำเพื่อได้ทอดพระเนตรนี้ได้ไปรู้จักผู้หญิงเยอรมันสองคน ตอนดึกเมื่อไปส่งเสด็จในกรมและท่านหญิงเข้าบรรทมที่โฮเต็ลแล้ว เราได้กลับมาที่ตรงเต้นรำนี้อีก เลยแนะนำให้ท่านขจรคนหนึ่ง แล้วเราก็เลยไปเที่ยวตามโรงเต้นรำต่างๆในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเราเข้าไปนั่งสักครู่หนึ่งก็มี entertainment ในชุดหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งออกมายืนว่ากลอนสดถึงคนที่ไปเที่ยวอยู่ในที่นั้นเรียงตัวไปทุกคน และก็ว่าดีมากเสียด้วยล้อเลียนอย่างขบขันทุกคน เช่นคนอ้วนๆ ไปเที่ยวเขาก็ว่าดึกดื่นแล้วควรจะไปนอนเสียทีเดี๋ยวร่างกายจะซูบผอมลงไป พอจวนถึงเราเราก็นึกว่าคงว่าเราเป็นจีนควรกลับไปอยู่เมืองจีนแต่ที่ไหนได้กลับบอกว่าเราเป็นเจ้าไทยมาอย่าง incognito
        Battle of Flowers คือขบวนแห่ผ่านถนนยาวสายหนึ่ง เป็นขบวนรถยนต์รถม้า ตบแต่งด้วยดอกไม้เป็นรูปต่างๆ อย่างสวยงาม แล้วมีหญิงสวยๆ นั่งประจำอยู่บนรถทุกคัน นอกจากนั้นยังมีหญิงสวยๆ เดินตามรถแต่ละคันอีก เราไปซื้อที่นั่งดู ซึ่งเขาสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานนี้ แล้วก็ซื้อดอกไม้ไว้มากมาย เวลาขบวนแห่ผ่านเราก็ขว้างดอกไม้ให้กับคนที่เราพอใจ ขบวนแห่ค่อนข้างยาว และยังซ้ำกลับไปกลับมาหลายเที่ยว พวกเราเสียสตางค์ค่าดอกไม้ไปมาก แต่ก็สนุกดี เพราะเขาก็ขว้างตอบเหมือนกัน
        ทุกๆ เมืองที่เป็นเมืองตากอากาศของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งโดยมากอยู่ริมทะเลใหญ่หรือทะเลสาบแล้ว จะต้องมีสถานที่เล่นการพนัน ถ้าเป็นเมืองตากอากาศที่ใหญ่และสำคัญหน่อยก็มีสถานที่เล่นการพนันมากแห่ง และทำขึ้นอย่างสวยงาม จากสถานที่การพนันเหล่านี้เองรัฐบาลฝรั่งเศสได้ภาษีมากมาย เพราะการเล่นทุกอย่างทุกเที่ยวต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาล สำหรับเมืองนีซนี้เป็นสถานที่ตากอากาศใหญ่และสำคัญมาก จึงมีสถานที่เล่นการพนันหลายแห่งด้วยกัน แต่ที่สวยและหรูที่สุดคือ Palais de Mediteran?e สร้างขึ้นใหม่โดยเศรษฐีเอมริกัน ในตึกอันใหญ่นี้มีพร้อมทั้งห้องโถง โรงละคร ห้องเต้นรำ ห้องอาหาร ห้องเล่นไพ่ (Chemin de fer หรือ Bacara) และห้อง รูเล็ต เฉพาะห้องเล่นไพ่นั้นทำอย่าง exclusive ต้องเสียค่าผ่านประตูเข้าไปอีกคนละ ๑๐๐ แฟรงค์ ถ้าเสียเงินจำนวนนี้แล้วเข้าออกห้องนี้ได้ต่อไปอีก ๗ วัน ภายในห้องเล่นไพ่นั้นมีโต๊ะเล่นไพ่ ๑๐ กว่าโต๊ะ มีโต๊ะใหญ่มากอยู่หนึ่งโต๊ะๆ นี้สำหรับพวกเศรษฐีเล่น เพราะตั้งต้นกันด้วยจำนวนหลายพันแฟรงค์ โต๊ะอื่นๆก็ลดลงมาตามลำดับ แต่โต๊ะเล็กที่สุดต้องตั้งต้นด้วยเงิน ๖๐ แฟรงค์ ข้าพเจ้าเข้าเล่นโต๊ะที่ตั้งต้นด้วย ๖๐ หรือ ๑๐๐ แฟรงค์ สำหรับห้องเต้นรำทำหรูมาก ที่เต้นรำนั้นเวลาไม่เต้นและมีการแสดงเบ็ดเตล็ดให้ดูแล้วพื้นนั้นค่อยๆเลื่อนขึ้นมาสูงเป็นเวทีได้ เสด็จในกรมและท่านหญิงเสด็จไปสถานที่นี้หลายครั้ง และโดยมากเราก็เข้าห้องเล่นไพ่ สำหรับท่านหญิงท่านลองเล่นบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับเสด็จในกรมรับสั่งว่า "ดูๆเขาแล้วก็อยากเล่น เหมือนกัน รู้สึกว่าน่าสนุก" แต่รับสั่งต่อไปว่า "อย่าเห็นจะดีกว่า เดี๋ยวจะเกิดติดอกติดใจแล้วจะเกิดมุทะลุขึ้นจะฉิบหายใหญ่" ตกเวลากลางคืนพอเสด็จเข้าบรรทมแล้ว ข้าพเจ้าและท่านขจรก็มักจะไปสนุกต่อ ณ ที่นี้อีกเพราะชอบเล่นไพ่บาคาราได้เสียกันเร็วทันใจดี บางคืนก็ได้มาก บางคืนก็เสียมาก แต่เมื่อรวมกันแล้วตลอดเวลาพักอยู่ที่เมืองนี้เสียไปหลายร้อยบาท การไปสถานที่การพนันนี้เราแต่งตัวเสียโก้ คือแต่งเครื่องราตรี ถุงมือขาว ถือไม้เท่า ทำเป็นทีว่าเป็นคนมีเงินมากได้ไปรู้จักกับเศรษฐีอเมริกันหลายคน ถ้าเป็นหญิงสาวหน่อยก็เลยชวนออกไปเต้นรำด้วยการแต่งตัวดีนี้ได้รับประโยชน์มาก ทำให้ผู้คนนับหน้าถือตาขึ้น แต่เราก็ต้องรางวัลพวกคนใช้ต่างๆ ให้ถึงขนาดเหมือนกัน
        มีสถานที่เล่นการพนันอีกแห่งหนึ่งที่คนชอบไป สถานที่นี้อยู่ปลายสะพานออกไปในทะเล มีโรงละคร ที่เต้นรำ ห้องเล่นไพ่ ฯลฯ เหมือนกัน สถานที่นี้ค่าผ่านประตูถูกลงไปหน่อย ผู้คนที่ไปไม่หรูหรือสวยเท่ากับ Palais de Mediteran?e
        ระหว่างพักอยู่เมืองนี้ ตอนบ่ายเสด็จในกรมโปรดไปขี่รถยนต์ไปเมืองใกล้เคียงต่างๆ เช่นมอนติคาร์โล เมืองหลวงของประเทศโมนาโควันหนึ่ง ไปเมืองกราสวันหนึ่งไปเมืองคานส์เซ็นต์ราเฟลอีกวันหนึ่ง ฯลฯ เป็นต้น เฉพาะวันไปมอนติคาร์โลนั้นได้ออกเดินทางไปตั้งแต่เช้า ได้ไปลองเล่นรูเล็ตดูสนุกดี สังเกตดูคนเล่นช่างตั้งอกตังใจกันเสียจริงๆ บางคนมีสมุดสะระตะติดมือไปด้วย ว่าคราวนี้ออกเบอร์นั้นแล้ว คราวหน้าจะต้องเป็นเบอร์นั้น บางคนหน้าตาซีดเป็นทีว่านั่งเล่นมาหลายสิบชั่วโมงแล้ว และเสียเกือบหมดตัว ฯลฯ ถนนจากนีซไปมอนติคาร์โลสวยมาก ไปตามริมทะเลตลอดทาง หนทางครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ได้ไปดูทหารการ์ดของเจ้าเมืองแห่งโมนาโคด้วย แต่งตัวสวยมีอยู่ไม่ถึง ๑๐๐ คน
        ประเทศโมนาโคนี้มีเนื้อที่เพียง ๘ ตารางไมล์เท่านั้น มีพลเมืองเพียง ๒-๓ หมื่นคน รายได้ของประเทศส่วนใหญ่อยู่ที่ภาษีการพนัน ภาษีอื่นๆ เกือบจะว่าไม่ต้องเก็บเลย
        วันไปเมืองกราสได้ไปดูโรงทำน้ำอบใหญ่ยี่ห้อ Molinard น่าดูมาก พวกเราได้ซื้อน้ำอบกันคนละหลายๆขวด ประเทศฝรั่งนี้มีโรงงานทำน้ำอบหลายสิบแห่ง และน้ำอบนี้เป็นสินค้าสำคัญของประเทศอย่างหนึ่ง เป็นที่นิยมกันทั่วโลก วันไปเมืองคานส์ก็สนุกดี รถแล่นริมทะเลตลอดทาง เมืองคานส์สวยมาก มีเรือ "ยอช" ใหญ่ๆของพวกมหาเศรษฐีจอดอยู่หลายลำเมืองคานส์นี้เป็นเมืองตากอากาศสำหรับฤดูหนาว เช่นเดียวกับเมืองนีซ แต่ขนาดเล็กกว่าเท่านั้น
        ระหว่างพักอยู่ที่เมืองนีซ ประจวบน้องสาวซึ่งเดินทางไปเยี่ยมเมืองไทยสามเดือนเศษมาแล้วนั้นกลับออกมายุโรปอีก ข้าพเจ้าได้โทรเลขให้มาแวะพักที่นีซด้วยกันวันสองวันก่อน เพราะเรือมาหยุดที่เมืองเยนัว การเดินทางต่อไปลอนดอนต้องผ่านเมืองนีซอยู่แล้ว จึงได้พบกันและได้พาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ด้วย
        สรุปความว่าพักอยู่ที่นีซประมาณ ๑๐ วัน สนุกสนานมาก ได้เห็นของแปลกๆ และสวยงามหลายอย่างภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แล้วก็เดินทางกลับปารีสโดยรถไฟสายพิเศษที่เรียกว่า Blue Train วิ่งเร็วน่ากลัวตกราง ห้องที่พักในรถไฟสวยงามมากทั้งตัวห้องและเครื่องตบแต่งเป็นสีน้ำเงินทั้งหมดสมกับชื่อ
        มีฝรั่งคนหนึ่งเคยมาเมืองไทย เป็นคนเคยมีชื่อเสียงและรู้จักกับเสด็จในกรมแต่ก็ไม่สนิทนัก ถ้าจะมาเล่นไพ่จนหมดตัว มากระซิบขอยืมเงินเสด็จในกรมซึ่งรับสั่งให้มาพูดกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องเป็นดิโปลแมทในการเจรจาปฏิเสธโดยไม่ให้เสียถึงเสด็จในกรมด้วย แล้วข้าพเจ้าก็ได้ไปเล่าให้ท่านฟังว่าข้าพเจ้าได้บอกกับเขาว่าอย่างไรบ้าง รับสั่งว่า "ดีมาก อย่างนี้ไว้ใจได้ทุกอย่าง"
        ในการตามเสด็จคราวนี้ทรงเห็นว่าข้าพเจ้าคล่องแคล่วเป็นที่พอพระทัย ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ การรับแขกก็ดี เรื่องการเงิน หีบปัดข้าวของ โฮเต็ล รถไฟ คนใช้ก็ดี จัดการอื่นๆทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี เรียบร้อยและเร็วทันใจ เลยตั้งชื่อข้าพเจ้าใหม่ว่า "Efficient" ทรงเรียกชื่อนี้ตลอดมา

๑๒๐. กลับกรุงปารีส กรมพระจันทบุรีฯ ทรงประชวรหนัก

       กลับถึงปารีสไปพักที่สถานทูตตามเคย สังเกตดูเสด็จในกรมรู้สึกว่าท่านโทรมลงไปบ้าง แล้วมีพระอาการไม่ค่อยสบายเสมอ ต่อมาอีกไม่กี่วันก็ประชวรหนัก คือเช้ามืดวันหนึ่งราวตี ๔ ให้คนมาปลุกข้าพเจ้าให้ไปตามหมอเพราะหายพระทัยไม่ออก ข้าพเจ้ารีบตื่นขึ้นไปเฝ้า ท่านก็บ่นพึมพำว่าหายใจไม่ออก เห็นจะตายแน่วันนี้อึดอัดเต็มที ข้าพเจ้ารีบไปบ้านหมอ สำหรับหมอคนนี้ก็เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสและเป็นคนสำคัญ ข้าพเจ้ารู้สึกเกรงใจแกมากที่ต้องไปปลุกแกกลางดึงกลางดื่นแกก็ดีตื่นลงมาพบข้าพเจ้าทั้งเสื้อกางเกงนอน เมื่อเล่าพระอาหารให้ฟังแล้วแกก็สั่งให้จัดการพาพระองค์ท่านไปโรงพยาบาลทันที ภายในสองโมงเช้าวันนั้นนายแพทย์ก็ได้ทำการเจาะพระศอเสร็จ หายพระทัยทางพระศอ คราวนี้รับสั่งอะไรไม่มีเสียง ต้องใช้เขียนหนังสือสั่ง ออกสงสารท่านมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่าท่านยัง Cheerful อยู่ พักอยู่โรงพยาบาล ๗-๘ วันก็กลับไปพักสถานทูตอีก
        มีนาคมทั้งเดือนเป็นเดือนที่เศร้าเพราะพระอาการไม่ดีขั้น มีแต่ทรุดลง ข้าพเจ้าเวลา Off duty ก็ได้ไปสนุกเบิกบานใจกับพวกเพื่อนๆ บ้างนานๆ ครั้ง
        เมษายน ๒๔๗๔ พระอาการก็ทรุดลงเรื่อย ข้าพเจ้าต้องตามหมออยู่เสมอเสียค่ารถคราวละไม่น้อย จึงตกลงใจว่าจะต้องซื้อรถส่วนตัวคันหนึ่ง จึงได้ไปซื้อรถสปอร์ตตอนเดียวสีน้ำเงินชนิดเชฟโรเลตสำหรับใช้ตามหมอ และทำธุระต่างๆเป็นรถยนต์คันที่ห้าของข้าพเจ้า ตอนมีรถยนต์แล้วทำให้รู้จักปารีสดีมากขึ้น
        กลางเดือนเมษายน ช่องอาหารในพระศอเกิดตันขึ้นมาอีก เสวยอะไรไม่ได้แม้แต่น้ำ จึงต้องเจาะพระศออีกแห่งหนึ่งสำหรับหยอดอาหาร เมื่อถึง Stage นี้แล้วก็เป็นอันว่าหมดหวัง เพียงแต่จะรอถึงวันสุดท้ายเท่านั้น แผลที่พระศอนั้นออกจะมีกลิ่นมากสักหน่อย และมาตอนนี้แล้วนอนบรรทมก็ไม่ถนัด ต้องนั่งบรรทมรู้สึกว่าท่านต้องทรมานพระองค์มาก วันหหนึ่งท่านได้ถามหมอว่ามีกฎหมายในประเทศฝรั่งเศสห้ามมิให้หมอให้ยาคนเจ็บหนักที่ต้องทรมานตนอยู่อย่างนี้ให้ตายไปเสียหรือเปล่า ทั้งนี้พระองค์ท่านรู้ดีว่าไม่มีหวังแล้ว อยากให้ชีวิตท่านหมดไป ราววันที่ ๒๐ เมษายน หมอเห็นว่าไม่มีหวังแน่นอนแล้ว เพราะพระอาการซึมจะอยู่ไปได้อีกไม่กี่ชั่วโมง จึงได้ทูลถามท่านหญิงว่าต้องประสงค์จะให้ปลุกท่านเพื่อสั่งเสียอะไรหรือไม่ ท่านหญิงตอบว่าต้องการ เขาก็ฉีดยาให้สักครู่เดียวท่านก็ลืมพระเนตรและรู้สึกพระองค์ดี พูดจากันเข้าใจดี จึงได้จัดทำพินัยกรรมขึ้น ข้าพเจ้าได้อยู่และลงนามเป็นพยานในพินัยกรรมนั้นร่วมกับเจ้าคุณวิชิตวงศ์ด้วย ตลอดเวลาที่ท่านประชวรหนักอยู่นี้ ข้าพเจ้าต้องไปนั่งประจำอยู่ที่หน้าห้องท่าน เพราะโปรดให้ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ๆ เวลาลงพระบังคลหน้าหนักเบาต้องคอยอุ้มช่วยเหลือตลอดจนการเปลี่ยนฉลองพระองค์
        ความที่หัวใจของท่านยังทำงานดีมากนั้น ฤทธิ์ของยาฉีดที่จะปลุกท่านเพียง ๒-๓ ชั่วโมง ทำให้ท่านอยู่ต่อมาได้อีก ๗ วัน

๑๒๑. กรมพระจันทบุรีฯ สิ้นพระชนม์ (รูปภาพ),

       วันจันทร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๗๔ เวลา ๑๑.๐๕ น. เสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ สิ้นพระชนม์ ณ สถานทูตกรุงปารีส ท่านหญิงรับสั่งให้หาข้าพเจ้าทันที เรียกเข้าไปกอดไว้แล้วทรงกรรแสง ชี้ไปที่พระศพรับสั่งว่า "เสด็จสิ้นพระชนม์เสียแล้ว โถอุตส่าห์ติดสอยห้อยตามออกมา ฯลฯ" ท่านกอดไว้สัก ๑๐ นาทีจึงได้ปล่อย แล้วข้าพเจ้าก็มีธุระต่างๆ ที่ต้องจัดทำต่อไป เช่นโทรเลขกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งกำลังไปรักษาพระเนตรที่อเมริกา ถึงท่านนักขัตมงคลที่กรุงเทพฯ ถึงคุณพ่อ และถึงเจ้าคุณโกมารกุลมนตรี เสนาบดีกระทรวงพระคลัง เฉพาะฉบับกราบบังคมทูลนั้นข้าพเจ้ามึนงงมาก เพราะท่านหญิงรับสั่งให้เติมคำว่า "ขอเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง" ไปด้วย คำภาษาอังกฤษว่าอย่างใดก็ไม่รู้ บังเอิญมีเจ้าคุณบรมบาทบำรุง ซึ่งเคยรับราชการอยู่ในกรมราชเลขาธิการมากพักอยู่ในกรุงปารีสเวลานั้น ข้าพเจ้าจึงได้ปรึกษาท่าน แต่ท่านก็ไม่ทราบเหมือนกัน เราจึงเลยต้องปรึกษากันแปลข้อความให้ใกล้เคียงที่สุด อ่านเข้าพอรู้ความหมาย ฉบับถึงท่านนักขัตนั้นก็รับสั่งให้เติมความว่า ให้นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชด้วย นอกจากนั้นก็ต้องจัดตอบโทรเลขต่างๆ ที่เขาแสดงความเสียใจมาซึ่งมีจำนวนมากมาย
        ตอนกลางวันเวลาประมาณบ่ายโมงเศษ ทุกๆคนลงไปรับประทานอาหารกลางวัน ข้างล่าง แต่ข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งเฝ้าพระศพอยู่ข้างเตียงในห้องที่ท่านสิ้นพระชนม์คนเดียว แล้วปิดประตูห้อง เวลานั้นไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย สักครู่หนึ่งข้าพเจ้าได้ยินเสียงท่านหายพระทัยข้าพเจ้าตกใจมาก ขนหัวลุกขึ้นเกือบจะว่าทุกเส้น รีบเผ่นไปที่ประตูห้องแล้วเปิดประตู แล้วก็เลยลงไปทูลท่านหญิงซึ่งกำลังเสวยอยู่ ทุกๆคนขึ้นมาดูพระศพก็ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไร ต่อมาจึงได้ความว่าผู้ที่สิ้นชีวิตใหม่ๆ แล้วบางทียังมีลมค้างภายในก็ได้
ตอนบ่ายแพทย์ได้มาจัดการผ่าพระศพเอาเครื่องที่จะเน่าภายในออก และฉีดยาเพื่อไม่ให้พระศพมีกลิ่น แล้วเย็นวันนั้นก็เชิญพระศพลงหีบตั้งไว้ในสถานทูต ห้องตั้งพระศพบุกำมะหยี่สีดำหมด บนหีบพระศพมีธงไทยคลุมอยู่ ระหว่างตั้งพระศพ ๓ วันนี้ตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน มีพวกนักเรียนบ้าง พระญาติบ้าง ผลัดกันอยู่เฝ้าพระศพ แต่สำหรับข้าพเจ้าเองอยู่เฝ้าตลอดเวลาทั้ง ๓ วันไม่ได้ขาดไปเลย ใช้นั่งหลับแทนนอน ตอนดึกๆเกือบสว่างทุกๆ คนกลับไปนอนกันหมดเหลือข้าพเจ้าคนเดียว ตอนนี้ชักกลัวๆ เหมือนกัน
        การทำศพในกรุงปารีสนี้ได้รับความสะดวกมาก เพราะเขามีบริษัทรับจัดทำตั้งแต่เวลาตายไปจนถึงเวลาเผาหรือฝังเสร็จ จะให้ทำพิธีอย่างใดบ้างเขาก็อนุโลมทำตามทุกอย่าง ความหรูหราจะเอาเพียงใดก็ได้ แต่ยิ่งหรูมากก็ยิ่งแพงมาก สำหรับงานพระศพนี้เราก็ได้ติดต่อกับบริษัทชนิดนี้ และเอาอย่างชนิดหรูที่สุด ฉะนั้นหน้าสถานทูตและภายในสถานทูตเขาจึงมาตกแต่งบุด้วยกำมะหยี่ดำทั้งหมด และมีตัวอักษร K.C. ซึ่งเป็นพระนามท่าน (Kitiyakara of Chandaburi) ติดไว้ทุกแห่ง
        ถึงวันถวายพระเพลิงบริษัทก็ได้จัดรถขบวนแห่มาสวยมาก เป็นรถม้าทั้งสิ้นรวม ๑๒ คัน คือมีรถม้านำเทียมม้า ๔ ตัว รถคันนี้ตกแต่งด้วยพวงหรีดดอกไม่สดซึ่งบุคคลต่างๆ ส่งมาในงานนี้ คันที่สองเป็นรถพระศพมีม้าเทียม ๖ ตัว ต่อจากนั้นก็เป็นรถตามเทียมม้าคู่ นั่งได้คันละ ๔ คน ทุกๆคันมีอักษร K.C. ติดทั้งนั้น ข้าราชการที่มาในงานนี้แต่งเต็มยศประดับเหรียญตรานั่งรถม้าตามพระศพตามลำดับอาวุโส มีราชทูตไทยจากลอนดอน หม่อมเจ้าดำรัสดำรง เทวกุล เบอร์ลิน หม่อมเจ้าปรีดีเทพพงศ์ เทวกุล โรม พระยาอภิบาลราชไมตรี มาสมทบอีกด้วย ผู้ไม่มีเครื่องยศแต่ง Evening Dress ประดับเหรียญตรา ทางขบวนแห่จากสถานทูตไปสถานที่ถวายพระเพลิงมีระยะทางไกลมาก และต้องผ่าน Place de la Concorde และผ่านไปในเมืองอีกด้วย มีผู้คนหยุดดูเต็มสองข้างของถนน ขบวนแห่กินเวลาตั้ง ๒ ชั่วโมง
        เมื่อถึงสถานที่ถวายพระเพลิงมีนายทหารชั้นนายพลฝรั่งเศส มาคอยรับพระศพเป็นผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศส และมีนายพลอีกผู้หนึ่งเป็นผู้แทนประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้มีพิธีถวายพระเพลิงเช่นเดียวกับในเมืองไทย คือมีดอกไม้ธูปเทียนไปวางใต้พระศพ ครั้นแล้วเขาก็เลื่อนพระศพเข้าเตาเผา ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ ตอนก่อนเผาเขาถามว่าจะต้องการกระดูกอะไรเหลือไว้บ้าง เป็นชิ้นใหญ่หรือให้เหลือละเอียดๆ เราก็บอกความต้องการ แล้วเขาก็จัดให้ตามนั้น เสร็จแล้วนำพระอัฐิบรรจุในหีบหินอ่อนทำขึ้นเป็นพิเศษกลับสถานทูต ข้าพเจ้าเป็นผู้นำพระอัฐิกลับในรถยนต์สถานทูต ซึ่งเป็นรถนำ แล้วมีรถยนต์ตามอีกหลายคัน
        พระอัฐิมาตั้งอยู่ในสถานทูตอีก ๓ วันก็นับเป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนี้ท่านหญิงได้ขอให้ทางสถานทูตโทรเลขมาขออนุญาตทางราชการทางกรุงเทพฯ ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำพระอัฐิกลับ ซึ่งกำหนดจะกลับต้นเดือนกันยายน ให้พ้นหน้ามรสุม ซึ่งทางราชการทางกรุงเทพฯ ได้ตอบอนุญาตไป
        เมื่อก่อนเสด็จในกรมจะสิ้นพระชนม์ ได้มีลายพระหัตถ์ถึงเจ้าคุณโกมารกุลมนตรีเสนาบดีกระทรวงพระคลัง ยืดยาว ปรารภเรื่องราวต่างๆ และในตอนหนึ่งได้ทรงรับสั่งถึงข้าพเจ้าว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าตามเสด็จออกไปนั้น ข้าพเจ้าได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านมากมาย จนท่านตีราคาความดีความชอบของข้าพเจ้าไม่ถูกทีเดียว ลายพระหัตถ์ฉบับนี้ข้าพเจ้าพึ่งได้เห็นสำเนาเมื่อท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปราบปลื้มเป็นอันมาก ไม่เสียแรงที่ได้เหน็ดเหนื่อย เท่าที่ข้าพเจ้าได้เป็นเลขานุการเสด็จในกรมพระจันทบุรีนฤนาถ มาเป็นเวลา ๕ ปีครึ่ง รู้สึกว่าท่านเป็นเจ้านายที่น่าเคารพนับถือเป็นที่สุด มีพระทัยเยือกเย็นสุขุม ไม่ถือพระองค์ แม้ท่านจะมีอำนาจสูงสุด ไม่มีการให้ร้ายผู้ใดเลย นี่ก็ต้องนับว่าเป็นโชคชะตาดีของข้าพเจ้าอีกที่มาได้นายอย่างนี้ และที่เป็นโชคดียิ่งขึ้นไปอีกก็คือท่านโปรดปรานข้าพเจ้ามาก เพราะการปฏิบัติงานของข้าพเจ้าเป็นที่พอพระทัยท่าน

๑๒๒. "หน้าที่" ในการตามเสด็จเจ้านายชั้นผู้ใหญ่

       การตามเสด็จเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ถ้าจะเพียงอ่านดูเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้คงจะเห็นว่าข้าพเจ้าคงสนุกมาก ความเป็นจริงเวลาสนุกเบิกบานใจก็มีมากเหมือนกัน แต่เวลาหนักใจดูเหมือนจะมีมากกว่า เวลาที่เป็นของตัวเองแท้ๆ มีน้อยตั้งแต่เช้าจนกลางคืนจะทิ้งท่านไปไหนก็ไม่ได้นอกจากนานๆสักครั้ง แต่ก็ต้องกราบทูลลา คือ เราไม่เป็นตัวของเราเอง เวลาที่ใจหายใจคว่ำก็มีบ่อยครั้ง เช่นรถไฟจะออกท่านยังแต่พระองค์ไม่เสร็จหรือท่านยังไม่ออกจากห้องน้ำ เราจะเร่งท่านบ่อยๆ ก็เกรงพระทัยเพราะไม่ใช่เพื่อนกัน ต้องใช้วิธีต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนท่าน ซึ่งต้องใช้ความคิดพิเศษ เช่นเรียกใครมาคนหนึ่งมายืนหน้าห้องที่ท่านประทับอยู่ทำเป็นถามเวลาดังๆ เพื่อให้ท่านได้ยินว่ากี่โมงแล้วเราก็บอกว่ารถไฟจะออกเวลานั้นเวลานี้ เราจะต้องรีบออกจากที่นี่ภายใน ๕ นาที หรือไม่ก็ทำเป็นถามว่ากระเป๋ายกไปขึ้นรถแล้วหรือ รถพร้อมแล้วหรือ เพราะเราจะต้องรีบไปแล้ว ฯลฯ ถ้าเราทำอะไรเป็นที่ถูกพระทัยก็นับว่าเป็นโชคดี ถ้าไม่ถูกพระทัยก็อาจถูกกริ้ว เรื่องการเงินการทองก็ลำบาก ต้องทำบัญชีรับจ่ายทุกสตางค์ ใช้จ่ายในประเทศต่างๆ อัตราไม่เหมือนกัน เราก็ต้องมาคิดอัตราแลกเปลี่ยนให้ถูกต้อง เรื่องรางวัลคนใช้ในรถในเรือในโฮเต็ลในร้านรับประทานอาหารในสถานที่ทุกๆ แห่งที่เราผ่านก็เช่นกัน ให้น้อยไปก็เสียชื่อเจ้านายไทย ให้มากไปก็เสียดาย ตอนคิดว่าจะให้ใครเท่าใดก็เปลืองหัวสมองไม่ใช่เล่น ในเวลาเดินทางก็เหมือนกัน เรื่องหนังสือเดินทาง หีบปัด ข้างของ และการขนของ ต้องระวังไม่ให้ของหาย เรื่องอาหาร เรื่องที่นั่ง ในที่สาธารณะ ก็ต้องจัดให้เรียบร้อยทุกอย่าง จะปล่อยให้ท่านหิวหรือไม่มีที่นั่งก็ไม่ได้ ยังการรับแขกอีกต้องแสดงให้สมกับเป็นเลขานุการเจ้านายผู้ใหญ่ ต้องระวังคำพูด เจ้านายโดยมากท่านพระทัยเร็ว ต้องการอะไรอยากได้ทันที เราต้องจัดให้ได้ทันทีจึงจะพอพระทัย การพูดคุยกัท่านก็ดี ท่านถามอะไรเราต้องรู้ เราต้องอ่านหนังสือพิมพ์ เราต้องมีความรู้รอบตัวอย่างดีจึงจะเอาตัวรอดได้ กิริยาท่าทางอีกถ้าโข่งเกินไปก็ไม่ดี หรือจ๋องเกินไปก็ไม่ดี หรือจ๋องเกินไปก็ใช้ไม่ได้ เหล่านี้เป็นข้อที่เราต้องระวังตัวทุกๆอย่าง แล้วก็ต้องไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย ผู้ที่เคยตามเสด็จเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไปต่างประเทศคงจะมีความรู้สึกอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเลขานุการของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่นี้อาจทำให้พระองค์ท่านมีหน้ามีตา หรือว่าอาจดึงท่านลงก็ได้ สมมุติว่าเลขานุการแต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของอารยประเทศ พูดจาไม่มี Tact ไม่มี Personality หรือขี้เหนียวเกินไป เอาเปรียบเกินไป ฯลฯ เหล่านี้เป็นการดึงนายลงเป็นอันมาก

กลับที่เรี่มต้น
กลับไปสารบัญ