[ กลับไปสารบัญ ]

ภาคที่ ๑,   ตอนที่ ๑

5.  กลับเมืองไทย ๑,  พ.ศ. ๒๔๖๘

๙๒. การเดินทางกลับประเทศไทย
๙๓. อเมริกาและคนอเมริกัน
๙๔. ถึงประเทศอังกฤษ
๙๕. ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, ฮอลแลนด์
๙๖. ลงเรือ Chantilly เดินทางผ่าน Syria, Egypt Djibuti, Colombo ถึงปีนัง ระหว่างทางทราบว่าพระมงกุฎเกล้าสวรรคต
๙๗. กลับถึงประเทศไทย

๙๒. การเดินทางกลับประเทศไทย

       คืนวันที่ ๑๖ กันยายน (๒๔๖๘) เป็นคืนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะมีนัดกับพวกเพื่อนๆ ที่จะต้องลาหลายคน ให้เวลาคนละเล็กละน้อย กว่าจะถึงมิวเรียลซึ่งเป็นคนสุดท้ายเกือบสองยาม คืนนี้จิตใจไม่สู้จะดีเพราะรู้สึกกว่าข้าพเจ้าจะต้องจากบรรดาเพื่อนฝูงที่รักทั้งหลายไปแล้ว โดยไม่มีกำหนดว่าจะได้พบกันเมื่อใดอีก วันที่ ๑๗ เช้าออกเดินทางจากบอสตันไปนิวยอร์คโดยรถยนต์คุณประสาท มีนายหลง อัศวรักษ์ และนายเจียมลิมปิชาติไปด้วย เพราะสองคนนี้จะกลับประเทศไทยโดยเรือเดียวกัน เราได้พักอยู่ในนิวยอร์ควันหนึ่งคือวันที่ ๑๘ ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปลาเพื่อนฝูงหลายคนที่อยู่ในเมืองนิวยอร์คนี้ รวมทั้ง Mr. & Mrs. Melius ด้วย
        วันที่ ๑๙ ไปลงเรือชื่อ S.S. America เป็นเรือขนาดใหญ่ มีน้ำหนักสามหมื่นกว่าตัน ขนาดยาวเกือบ ๗๐๐ ฟิต ขนาดกว้าง ๗๐ กว่าฟิต มีเพื่อนฝูงมาส่งข้าพเจ้าที่ในเรือเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ Mrs. Melius นั้นก่อนเรือออกได้กอดจูบข้าพเจ้าแล้วร้องไห้ ช่างดีเหลือเกิน รักเหมือนลูกแกคนหนึ่ง มีจดหมายจากเพื่อนทั้งหญิงและชายมาคอยอยู่ในเรือนี้ไม่ต่ำกว่า ๕๐-๖๐ ฉบับ โทรเลขอีกหลายฉบับ คนในเรือที่เห็นเข้าออกจะแปลกใจ เพราะจดหมายและโทรเลขถึงข้าพเจ้ามากเหลือเกิน ตอนเรือออกใจหายมากเพราะจะต้องจากเพื่อนฝูง ฯลฯ ไปโดยที่ไม่ทราบว่าจะได้กลับมาพบกันอีกหรือไม่สงสารคุณประสาท ยืนหน้าเศร้าอยู่คนเดียว เพราะนายหลงและนายเจียมก็ขึ้นมาอยู่บนเรือหมด
        เรือลำนี้อันที่จริงใหญ่โตและสบายดี แต่ค่อนข้างจะเก่าหน่อย ในห้องที่เราอยู่นั้นเป็นห้องใหญ่มากสำหรับอยู่ได้ ๕ คน แต่เราอยู่ด้วยกัน ๓ คนเท่านั้น เมื่อเราออกจากท่าแล้วมองดูกรุงนิวยอร์คสวยงามมาก ใหญ่โต และเห็นตึกระฟ้ามากมายก่ายกอง แล้วเรือก็ผ่าน Statue of Liberty สู่มหาสมุทรแอตแลนติค ในเที่ยวนี้ที่ทำให้สนุกสนานยิ่งขึ้นอีกก็โดยมีเด็กหญิงอเมริกันกำลังรุ่นๆ จะไปศึกษาวิชาในโรงเรียนในประเทศฝรั่งเศสหลายคนด้วยกัน ข้าพเจ้าได้รู้จักสนิทสนมกับคนหนึ่งชื่อเอเวลินโรบินส์ มาจากเมืองริชมอนต์ มลรัฐเวอร์ยิเนีย ในเวลาว่างๆได้สอนให้เขาเล่นกีตาร์ ชีวิตในเรือก็สนุกสนานดีมีการเล่นกีฬาทุกวันซึ่งเป็นของชอบของเรา กลางคืนมีภาพยนตร์และมีเต้นรำทุกคืน มีดนตรีถึงสองวง คืนวันก่อนเรือถึงประเทศอังกฤษได้มีงานในเรือซึ่งมีละครเบ็ดเตล็ดแล้วภายหลังมีเต้นรำ ละครเบ็ดเตล็ดนั้นแสดงโดยผู้โดยสาร พวกเราคนไทย ๓ คนได้ถูกขอร้องให้แสดงอะไรบ้าง เราจึงมาปรึกษากัน ผลที่สุดก็ตกลงออกแสดงสองฉาก คือฉากที่หนึ่งนายหลงกับข้าพเจ้าแสดงยูยิตสู นายเจียมแสดง Tumbling เสร็จแล้วเราก็รีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แต่งราตรีออกมาเล่น Banjo Duet คือนายเจียมกับข้าพเจ้า พวกคนโดยสารในเรือชอบพวกเรามาก เพราะเราเล่นและสนุกด้วยทุกอย่าง
        ท่าเรือเมืองนิวยอร์คนี้ใหญ่มากจริงๆ มีเรือเดินมหาสมุทรเข้าออกวันละหลายสิบลำ เช่นวันที่ข้าพเจ้าจะออกเดินทางจากนิวยอร์คนี้ ได้เปิดดูในหนังสือพิมพ์ประจำวันว่าเรือ S.S. America จะออกจากท่าใดเวลาอะไรนั้น ปรากฏว่าในวันนั้นมีเรือเดินมหาสมุทร จะออกจากเมืองนิวยอร์คถึง ๔๒ ลำ ไปประเทศต่างๆในยุโรปเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นก็ไปอเมริกาใต้ ไปคิวบา ไปคลองปานามา เพื่อออกไปมหาสมุทรแปซิฟิค เฉพาะเรือไปยุโรปนั้นมีออกแทบทุกชั่วโมง ยังกับจะขึ้นรถไฟไปเมืองใกล้ๆ เวลาที่เรือออกจากท่าเห็นเรือใหญ่ๆ หลายลำกำลังเข้าและกำลังออกจากท่าสู่มหาสมุทร เพียง ๒-๓ ชั่วโมงเรือต่างๆก็ค่อยๆ ห่างออกไปจนไม่เห็นเรืออะไรเลย เห็นแต่ฟ้ากับน้ำเท่านั้น
        ในระหว่างเดินทางในเรือลำนี้ เขามีวันและเวลาที่ให้ผู้โดยสารเข้าชมกิจการของเรือต่างๆ เช่นขึ้นไปบน Bridge deck ที่ๆถือท้ายเรือดูเครื่องมือในการเดินเรือ เครื่องมือสั่งห้องเครื่องให้วิ่งเร็วช้า เครื่องมือสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ต่างๆ เครื่องมือสั่งการในเวลาเรือเกิดไฟไหม้ ฯลฯ ลงไปชมในห้องเครื่องจักร การใส่ไฟเข้าเตาของหม้อน้ำ ซึ่งห้องนี้ร้อนมาก พวกทำหน้าที่ใส่ไฟไม่สวมเสื้อเลย ตัวแดง รูปร่างบึกบึน ได้ดูที่ Control เครื่องให้วิ่งเร็วช้าหรือถอยหลัง นอกนั้นได้เข้าไปดูโรงพิมพ์สำหรับพิมพ์หนังสือพิมพ์ออกประจำวัน พิมพ์บัญชีอาหารทุกมื้อ พิมพ์ประกาศและแจ้งความต่างๆ ดูที่ซักฟอกเสื้อผ้าเข้าไปดูในครัวทำอาหาร ทุกที่ทุกทางเขาสะอาดเรียบร้อยดี มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ติดใจข้าพเจ้ามากคือการถือท้ายเรือ เราเคยเห็นในเมืองไทยเรือไม่ต้องขนาดโตเท่าใดนักมีที่ถือท้ายใหญ่โตมาก แต่เรือลำนี้ออกใหญ่มีที่ถือท้ายเล็กนิดเดียว มิหนำซ้ำไม่มีคนถือท้ายเสียด้วยกัปตันได้อธิบายให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้มีเครื่องบังคับอย่างใหม่ใช้ด้วยไฟฟ้า คือพอเรือออกจากท่าสู่มหาสมุทรแล้วก็ตั้งเข็มว่าจะไปสายเลขที่เท่าใดก็ตั้งเครื่องถือท้ายไว้ แล้วเครื่องมือนั้นก็ถือท้ายไปให้ตลอดทางโดยไม่ต้องใช้คนเลย กัปตันยังอธิบายต่อไปว่า แม้จะมีคลื่นลมหรือพายุพัดให้เรือออกนอกทาง แต่เครื่องนี้จะต้องทำหน้าที่หันพวงมาลัยให้มาเข้าทางได้โดยที่คนไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับที่ถือท้ายเลย
        ในเรือใหญ่ๆเช่นนี้ ก็ต้องมีห้องจัดไว้สวยๆ สำหรับคนโดยสารได้หย่อนอารมณ์หลายห้อง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องเขียนหนังสือ ห้องเต้นรำ ห้องรับประทานน้ำชา มีสวนต้นไม้ ดอกไม้ ฯลฯ เวลารับประทานอาหารกลางวัน อาหารเย็นและน้ำชามีดนตรีบรรเลง นอกจากนั้นก็มีร้านตัดผมชาย ร้านดัดผมและเซทผมหญิง แล้วมีร้านขายของซึ่งขายเครื่องสำอาง เครื่องแต่งตัวหญิงชาย และเครื่องดื่มต่างๆ รวมทั้งไอศกรีมกับมีพวกเครื่องกระป๋องและช็อกโกเลตจำหน่ายด้วย
สำหรับอาหารการกินในเรือลำนี้ดีมากทีเดียว เรากินกันอย่างเต็มที่ มีอะไรกินก็สั่งตั้งแต่เบอร์หนึ่งถึงเบอร์สุดท้าย จนนายหลงพูดว่า สำหรับเรา ๓ คนนี้บริษัทเรือขาดทุนแน่ ถ้ารู้ว่าเรากินกันอย่างนี้แล้ว คราวหลังเห็นจะไม่ขายตั๋วให้อีก ค่าเรือจากนิวยอร์คถึงเมืองพลีมัทในประเทศอังกฤษต้องเสีย ๑๕๐ เหรียญ

๙๓. อเมริกาและคนอเมริกัน

       ชีวิตข้าพเจ้าในประเทศอเมริกา ๘ ปีเศษ คือตั้งแต่อายุ ๑๓ ถึง ๒๑ ปีเศษนั้น ข้าพเจ้าพึงพอใจมาก และดีใจที่ได้มีโอกาสได้มาศึกษาในประเทศนี้ รู้สึกว่าคนอเมริกันส่วนมากถูกใจข้าพเจ้า พูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่มีว่าต่อหน้าพูดอย่างหนึ่งแล้วลับหลังอีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เพื่อนดีๆ จำนวนมาก เพื่อนที่ถือความรักและน้ำใจซึ่งกันและกันมากกว่าที่จะถือเป็นคนต่างชาติต่างผิว ทั้งในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยเพื่อนนักเรียนและครูอาจารย์ได้ยกย่องข้าพเจ้าอย่างสูง ยกย่องอย่างที่ไม่เคยยกย่องชาวต่างชาติอื่นๆ
        ข้าพเจ้าชอบ Spirit ของชาวอเมริกัน ชอบขนบธรรมเนียม ชอบความเป็นอยู่ ชอบชีวิตของนักเรียน ชอบกีฬาต่างๆ ชอบดนตรีทุกอย่างทุกประเภท และสำหรับดนตรีสมัยใหม่นั้นที่ได้หัดเล่นเป็นพอเข้าวงหรือหากินได้ก็คือ Tenor Banjo, Saxophone, Guitar ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวคือ เรื่องดูถูกคนต่างชาติต่างผิว
        คนอเมริกันส่วนมากมีจิตใจบึกบึนกล้าหาญและเป็นนักสู้ กล้าทดลองการกระทำที่ฝ่าอันตรายต่างๆ เมื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไรแล้วต้องทำ แล้วต้องช่วยกันทำให้สำเร็จ ข้าพเจ้าคิดว่า การอบรมในโรงเรียนกินนอนและมหาวิทยาลัยนี้เองที่ทำให้จิตใจเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกันฟุตบอลที่ทำให้คนอเมริกันมีใจบึกบึนกล้าหาญ และเป็นนักสู้ไม่กลัวอันตรายต่างๆ
        สำหรับพวกคณะทูตต่างประเทศที่ประจำอยู่ในกรุงวอชิงตันนั้น ดูออกจะเป็นพวกที่หรูหน่อย คือได้รับการยกย่องเป็นอย่างดี และมีสิทธิพิเศษหลายประการ ทั้งนี้รวมทั้งคณะทูตของไทยเราด้วย
        ในประเทศอเมริกามีอะไรดีอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าผู้ใดมีความสามารถแล้วต้องรวย เช่นคิดอะไรขึ้นได้สักอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นของเล็กน้อยถ้าถูกใจคนแล้ว ภายในไม่กี่วันก็ได้เปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เช่นคนหนึ่งคิดทำรูปแหม่มใส่เสื้ออาบน้ำท่าต่างๆ สำหรับติดกระจกรถยนต์ ของง่ายๆ แต่บังเอิญถูกใจประชาชน ไม่กี่วันเขาก็รวยมาก อีกคนหนึ่งคิดทำไอศกรีมหุ้มด้วยช็อกโกเลต ภายในหน้าร้อนเดียวเท่านั้นเขาก็รวย เป็นต้นนี่ในทางความคิดเล็กๆน้อยๆถ้าคิดของใหญ่ๆ ยิ่งรวยมาก คราวนี้ความสามารถในการแสดง ถ้าต่อยมวยเก่งได้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งชนะเลิศของโลก เข้าต่อยครั้งหนึ่งก็ได้ตั้งล้านเหรียญ เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงเก่ง เหล่านี้มีรายได้เดือนละหลายพันเหรียญทั้งสิ้น
        ประเทศอเมริกานี้เราเรียกว่าโลกใหม่ คือเมื่อก่อน ค.ศ.๑๔๙๒ นั้น นึกกันว่าโลกเรานี้แบน คงมีแต่ยุโรปและอาเซีย จนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งเป็นชาวเมืองเยนัว อิตาลี ได้ความคิดว่าโลกนี้กลม จึงตั้งต้นออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคจากทวีปยุโรปไปทางทิศตะวันตก เดินทางโดยไม่เห็นฝั่งเลยอยู่นานจนนึกว่าหมดหวังแล้ว ผู้ที่ไปในเรือกระสับกระส่ายและมีความคิดว่า พวกเราทั้งหมดนี้ถ้าขืนเชื่อนายโคมลัมบัสก็เห็นจะเป็นเหยื่อปลาฉลามในมหาสมุทร แอตแลนติคนี้เอง แต่ยังไม่ทันถึงเกิด Mutiny (ขบถ) ก็ได้พบแผ่นดินซึ่งเป็นเกาะอยู่ใกล้กับอเมริกา เมื่อถึงที่แรกก็นึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย ต่อจากนั้นก็ได้มีผู้ข้ามไปทวีปอเมริกาอีกหลายพวก จน ค.ศ.๑๖๐๗ กัปตันจอนสมิทได้ไป Settle ที่เจมส์เทาวน์มลรัฐเวอร์ยิเนีย ค.ศ.๑๖๑๙ ได้ตั้งต้นมีการค้าทาสชาวนิโกรในประเทศอเมริกา ค.ศ.๑๖๒๐ พวกพิลกริมสซึ่งเป็นชาวอังกฤษได้ไปถึง "พลีมัทรอค" ไปตั้งรกรากที่นั่น ต่อมาใน ค.ศ.๑๗๗๕ ได้เกิดสงครามตั้งเป็นเอกราชของอเมริกา และได้ประกาศเอกราชวันที่ ๔ กรกฎาคม ๑๗๗๖ จึงได้มีประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ในตอนต้นมีเพียง ๑๓ มลรัฐ อยู่ในด้านตะวันออกของประเทศ คือทางด้านมหาสมุทรแอตแลนติค ต่อมาจึงได้ขยายเป็น ๔๘ มลรัฐเท่าที่เป็นอยู่บัดนี้ (๒๔๖๘)
        สำหรับการปกครองเป็นประชาธิปไตยแท้ พลเมืองได้สิทธิเสรีภาพแท้ในทุกๆทาง ตามรัฐธรรมนูญให้อำนาจประธานาธิบดีมาก แต่ประธานาธิบดีมีอายุอยู่ในตำแหน่ง ๔ ปีเท่านั้น อำนาจทางศาลเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่ใน Cabinet รู้สึกอีกอย่างหนึ่งว่าพวกหนังสือพิมพ์มีอิทธิพลมาก เพราะแกมีปากและมีเสรีภาพที่อยากจะพูดอะไรก็ได้ ประธานาธิบดีทำอะไรไม่ดีแกก็ด่าได้
        การเทศบาลเขาก็มีระเบียบเรียบร้อยดี ทุกๆ เมืองสะอาดสะอ้านมาก แต่ก็เก็บภาษีทุกอย่างยิบยับ บางแห่งต้องการความสะอาด เช่นสถานีรถไฟ Grand Central ในกรุงนิยอร์ค ฉะนั้น รถจักรที่จะลากขบวนรถเข้าหรือออกจากสถานีนี้ต้องใช้รถไฟฟ้าเพื่อสถานีและบ้านเมืองจะได้ไม่สกปรกด้วยถ่านรถจักร

๙๔. ถึงประเทศอังกฤษ

       วันที่ ๒๗ กันยายน (๒๔๖๘) เวลาค่ำ เรือ S.S. America แล่นเข้าอ่าวพลีมัทในประเทศอังกฤษ เรือจอดกลางอ่าว มีเรือเล็กออกมารับ มีประวัติน้องชาย กับวิลาศ โอสถานนท์ เพื่อนนักเรียนมหาดเล็กออกมารับถึงเรือใหญ่ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจหนังสือเดินทางเสร็จแล้ว เราก็ลงเรือเล็ก เสียงร้องลงมาจากเรือใหญ่ทั้งเสียงหญิงและเสียงชายว่า Good-bye Siam ข้าพเจ้าจึงชวนนายเจียมหยิบแบนโจออกมาเล่น Duet เพลง Farewell to Thee เสร็จแล้วเขาก็ตบมือกันใหญ่ เราจึงเล่นเพลง Till we meet again อีก เขาก็ตบมือให้อีกก็พอดีเรือเล็กออกจากเรือใหญ่แล่นเข้าฝั่ง เราพักอยู่ที่โฮเต็ลเมืองนั้นคืนหนึ่ง รู้สึกว่าอเมริกาและอังกฤษผิดกันมาก คือบ้านเมืองรูปร่างต่างกัน ไม่มีตึกสูงมากๆ ผู้คนกิริยาท่าทางและการพูดจาหรือสำเนียงไม่เหมือนกัน ถนนหนทางเล็กและคดเคี้ยว รถยนต์คันเล็กกว่า ฯลฯ แต่อย่างก็ดีข้าพเจ้าชอบอยู่อย่างหนึ่ง คือตำรวจอังกฤษรู้สึกว่าพูดจาดียิ้มแย้มแจ่มใสและไม่ดุเหมือนตำรวจอเมริกัน เมืองพลีมัทนี้เป็นเมืองท่าเรือสำคัญของประเทศอังกฤษเมืองหนึ่งและเป็นเมืองเก่าแก่ด้วย มีพลเมืองสองแสนคน
        เรื่องที่น่าขันมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าได้จากเมืองไทยไปเกือบ ๙ ปี ตั้งแต่อายุเพียง ๑๓ ซึ่งประวัติก็อายุเพียง ๑๒ เท่านั้น มาบัดนี้ข้าพเจ้าอายุ ๒๒ และประวัติอายุ ๒๑ ฉะนั้นเมื่อเขาขึ้นมารับบนเรือใหญ่ข้าพเจ้าจำเขาไม่ได้ ส่วนวิลาศนั้นข้าพเจ้ากลับจำได้ดีเพราะเมื่อจากไปเขาอายุตั้ง ๑๗ แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้แอบกระซิบถามวิลาศว่าคนที่มากับคุณนั้นเป็นใครวิลาศหัวเราะแล้วบอกว่าอะไรจำน้องชายของตัวไม่ได้ เรื่องนี้ขำดีเหมือนกัน
        รุ่งขึ้นวันที่ ๒๘ เราได้เดินทางโดยรถไฟเข้ากรุงลอนดอน ซึ่งกินเวลาหลายชั่วโมงถึงกรุงลอนดอนประวัติพาไปพักที่ Lexham Gardens กับเขา รู้สึกว่าเมืองอังกฤษนี้ยังไม่ทันสมัยเท่าอเมริกา เช่นอย่างบ้านที่เราไปพักจะล้างหน้าก็ยังต้องเทน้ำลงในอ่าง น้ำร้อนก็ไม่มีและสิ่งอื่นๆก็ดูยังล้าหลังอยู่มาก และดูอะไรๆก็ช้าไปหมด คนเดิน รถวิ่ง ฯลฯ เวลาไปขึ้นเงินที่ธนาคารต้องคอยเสียนานกว่าจะได้เงิน ในอเมริกาพอยื่นเช็คเขาก็จ่ายเงินให้ทันที
        ระหว่างที่พักอยู่ในประเทศอังกฤษ ประวัติเป็นผู้พาไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ เช่น Buckingham Palace, House of Parliament ฯลฯ พอตกกลางคืนก็มักจะพาไปรับประทานอาหารจีน แล้วก็พาไปดูสถานที่สนุกสนานต่างๆ เช่น โรงเต้นรำถนนอ๊อกซฟอร์ดซึ่งที่นี้มีนักเรียนไทยไปเที่ยวกันมาก บางคืนก็ได้ไปดูละคร ดูภาพยนตร์ นักเรียนไทยที่เคยอยู่อังกฤษ บางคนที่ข้ามไปอเมริกาได้ไปเล่าให้ฟังว่า กรุงลอนดอนนี้ในเวลากลางคืนที่ Piccadilly Circus มีไฟสว่างไสว สวยงามมากไปกว่าบรอดเวย์ ในกรุงนิวยอร์คเสียอีก ข้าพเจ้าเห็นว่าบรอดเวย์ก็งามเหลือทนแล้ว จึงอยากเห็น Piccadilly นัก ขอให้ประวัติพาไปดู เมื่อถึงที่แล้วข้าพเจ้าไม่ทราบก็ถามว่า เมื่อใดจะถึงเขาบอกว่านี้แหละ Piccadilly Circus ข้าพเจ้าแปลกใจมากเพราะเหตุว่า ความสวยงามของไฟไม่ถึงครึ่งบรอดเวย์ อยู่ในขนาดเมืองธรรมดาของอเมริกาเมืองหนึ่งเท่านั้น ระหว่างพักอยู่กรุงลอนดดนนี้ได้ไปเที่ยวรถยนต์ทางไกล ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งไปเคมบริดจ์ไปดูมหาวิทยาลัยของประวัติ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดมหาวิทยาลัยหนึ่งในประเทศอังกฤษ เห็นสถานที่ก็ชักเลื่อมใสเสียแล้ว ประวัติได้พาไปชมห้องที่เขาพักอยู่ ที่รับประทานอาหาร ฯลฯ ครั้งที่สองไปไบรตัน เป็นสถานที่ชายทะเลและที่ตากอากาศหน้าร้อนแห่งหนึ่ง นักเรียนไทยดูเหมือนจะมาที่นี่กันมากเพราะไม่ไกลกรุงลอนดอน และเป็นที่สนุกสนานครึกครื้นดี เราได้ไปรับประทานน้ำชาและเต้นรำในที่หรูแห่งหนึ่ง ครั้งที่สามไปทาง Southsea ไปแวะหาน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อนิตย์ ยังเด็กมาก ได้ถ่ายรูปร่วมกันด้วย
        ในลอนดอนรู้สึกไม่ค่อยจะสนุกสนานเท่าใดนัก ยิ่งวันอาทิตย์ยิ่งเงียบหงอยเหลือเกิน วันอื่นๆ ค่อยยังชั่ว แต่พอตกกลางคืนก็เงียบแต่หัวค่ำ นอกจากในเมืองบางแห่งผิดกับอเมริกามาก กลางคืนหิวก็หาอะไรรับประทานยากต้องเข้าไปในเมือง ข้าพเจ้าพักอยู่ลอนดอนสองอาทิตย์ แต่ก็ได้เห็นอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะประวัติก็เป็นผู้นำทางที่สามารถคนหนึ่ง ได้เห็นทั้งสถานที่ๆ สวยงามดี และทั้งที่สนุก
        คืนวันหนึ่งครอบครัวหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับตระกูลข้าพเจ้า ได้เชิญไปรับประทานอาหาร บ้านเขาอยู่นอกกรุงลอนดอน ประวัติเป็นผู้พาไปโดยรถยนต์ ขากลับหมอกลงจัดต้องขับรถค่อยๆ คลานมา กว่าจะถึงบ้านแทบแย่เสียเวลาหลายชั่วโมง ข้าพเจ้าเคยได้ยินเขาเล่าว่าหมอกกรุงลอนดอนนี้ร้ายกาจมาก ก็ได้มาเห็นด้วยตนเอง ตำรวจต้องจุดไต้ตามสี่แยกถนน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ค่อยเห็น ระยะสองสามก้าวจากตัวเราเกือบไม่เห็นอะไรเลย

กลับที่เรี่มต้น

๙๕. ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, ฮอลแลนด์

       วันที่ ๑๐ ตุลาคม (๒๔๖๘) เดินทางข้ามไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสได้ชวนประวัติไปเที่ยวด้วย เราเลือกไปทางสายนิวเฮเวน-เดียพ ทางสายนี้ระยะทางเรือยาวหน่อย แต่ทางรถไฟนั้นสั้น ตอนข้ามแชแนลเรือโคลงมากโดนคลื่นใหญ่ อยู่ในเรือเพียง ๓ ชั่วโมงเท่านั้นรู้สึกเมาจนเกือบจะอาเจียน ถึงกรุงปารีสเวลาค่ำแล้ว มีนายชวัต ชุมะโชติ มารับที่สถานีรถไฟ ออกรู้สึกตื่นเต้นเพราะกรุงนี้เคยได้ยินชื่อเสียงมามากแล้วว่าเป็นกรุงที่สนุกและสวยงามที่สุด ได้ยินเสียงภาษา ฝรั่งเศส ได้ยินเสียงแตรรถยนต์ซึ่งแปลกว่าที่เคยได้ยินมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างรู้สึกว่าแปลกไปจากอังกฤษและอเมริกามาก พอรับประทานอาหารเย็นเสร็จ เราก็ออกเที่ยวกันทีเดียว รู้สึกว่าชีวิตที่นี่สนุกสนานจริงๆ อย่างที่เขาเล่าและยิ่งดึกก็ยิ่งสนุก แต่ถ้าไม่ระวังตัวก็ค่อนข้างจะแพงอยู่เหมือนกัน เราได้ไปตามโรงเต้นรำต่างๆ ดื่มแชมเปญ เต้นรำ ดูระบำต่างๆ ตั้งแต่เรียบร้อยที่สุดไปจนโป๊ที่สุด ที่ฝรั่งเศสนี้ดีมาก ไม่มีการถือคนต่างชาติต่างผิวกันเลย ผิดกับในอเมริกาเลยทำให้สนุกยิ่งขึ้นอีก ที่แปลกตาที่สุดก็คือเห็นชายแขกดำ (นิโกร) ควงผู้หญิงฝรั่งอย่างนี้ในอเมริกาไม่เคยเห็น เพราะในอเมริกามีกฎหมายห้ามมิให้แขกดำแต่งงานกับหญิงผิวขาวโดยเด็ดขาด ส่วนเรื่องแขกดำควงผู้หญิงขาวนั้นแม้จะไม่มีกฎหมายห้าม แต่ก็เป็นมติมหาชนของชาวอเมริกันไม่ต้องการให้ทำเช่นนั้น จึงไม่มีผู้ใดกล้าทำ
        ในวันต่อๆไป เราได้ไปชมความสวยงามของกรุงปารีสโดยตลอดรวมทั้งได้ขึ้นไปบนยอด Eiffel Tower ด้วย Eiffel Tower นี้ได้สร้างขึ้น เนื่องจากงาน Exhibition ในกรุงปารีสเมื่อ ค.ศ.๑๘๘๙ ความสูงของหอสูงนี้ถึง ๙๘๔ ฟิต มีลิฟท์ขึ้นไปจนถึงยอดเวลาอยู่บนยอดหอสูงนี้ได้เห็นกรุงปารีสตลอดหมดทุกด้าน สวยงามมาก
        รถยนต์แท๊กซี่ในประเทศฝรั่งเศสนี้ราคาถูกกว่าที่อื่นๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว จะไปไหนก็เป็นการสะดวก ระหว่างพักอยุ่กรุงปารีสนี้เรามักจะไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารจีนที่ Quatier Latin ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพวกนักเรียนพักอยู่มาก ที่นั่นมีร้านอาหารจีนอยู่ ๒-๓ แห่ง แต่โดยมากเรามักจะไปที่ร้านชื่อว่า "พาสคัล" เพราะที่นั่นมีดนตรีและเต้นรำด้วย ประวัติข้ามไปเที่ยวอยู่ด้วยกันสัก ๓-๔ วัน ก็ต้องกลับอังกฤษเพราะมหาวิทยาลัยเขาจะเปิด
        ต่อมาอีกไม่กี่วันข้าพเจ้า ก็เดินทางไปเที่ยวต่อไปคือไปกรุงบรัสเซลเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยม ได้ไปพักอยู่ที่ "แพเลซโฮเต็ล" รู้สึกหงอยเพราะไปคนเดียว กรุงบรัสเซลนี้ เขาเรียกกันว่า Little Paris คือทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกรุงปารีสมาก แต่หากเล็กกว่าเท่านั้น สถานที่สำหรับชมที่นี่ก็มีหลายแห่ง แต่ที่เป็นของแปลกที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปดูนั้น คือมีอนุสาวรีย์เด็กกำลังยืนปัสสาวะ และก็ปัสสาวะอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ข้าพเจ้าได้พักอยู่ในกรุงนี้ ๒ วัน พอดูเมืองได้โดยตลอด การเดินทางคนเดียวนี้หมดสนุกไปมากทีเดียว คือนอกจากหงอยแล้วเห็นอะไรงามหรือแปลกก็ไม่รู้จะไปปรารภกับใคร สำหรับโรงหนัง โรงละคร โรงเต้นรำแล้ว หมดอยากที่จะเข้าไป
        ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปยังกรุงเฮก เมืองหลวงของประเทศฮอลันดา ที่นี่ได้ไปพักอยู่ที่สถานทูตสยามกับพระศรีบัญชา ซึ่งเป็นอุปทูตอยู่เวลานั้น และคุณแฉล้มลำพังกรุงเฮกก็ไม่ค่อยสนุกสนานนัก เมื่อจะเปรียบกับกรุงปารีส หรือกรุงอื่นๆ เพราะเป็นเมืองเล็กและค่อนข้างเงียบหงอย แต่อาศัยที่มีคุณแฉล้มและคุณหลวงจรเนาวิเทสพาเที่ยวก็เพลินดี ได้ไปดูสถานที่สำคัญหลายแห่งรวมทั้งพระราชวังด้วย วันหนึ่งได้ขึ้นรถยนต์ไปเมืองรอตเตอดัมซึ่งมีระยะทาง ๑๔ ไมล์จากกรุงเฮก เป็นเมืองที่ใหญ่และครึกครื้นมากเราได้ไปเต้นรำในที่หรูแห่งหนึ่ง ณ ที่โรงเต้นรำนี้โต๊ะที่นั่งผู้มาเที่ยวตั้งอยู่บนขั้นบันไดตั้งแต่ขั้นต่ำขึ้นไปหลายชั้นจนถึงชั้นสูง แปลกดีเหมือนกัน จากโรงเต้นรำเราก็ไปซื้อกับข้าวเจ๊ก แล้วกลับกรุงเฮกในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่กรุงเฮกนี้ ๓ วัน แต่ก็เห็นจะได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมีคนพาเที่ยวและกรุงนี้ก็เล็ก ต่อจากนั้นก็เดินทางกลับกรุงปารีส
        ตามโปรแกรมเดิมของข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า จากกรุงเฮกแล้วจะเลยไปประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี อิตาลี แล้วจึงจะกลับเมืองไทย แต่โดยเหตุที่หาเพื่อนไปด้วยไม่ได้ ถ้าจะไปคนเดียวก็ไม่สนุก จึงได้กลับมากรุงปารีสอีก ตอนกลับมาอยู่กรุงปารีสตอนหลังนี้ ได้ไปเที่ยวกับหม่อมหลวงเทียม มาลากุล และนายอำนวย ศศิธร แทบทุกวันแถบมองมาตรและ Quatier Latin ค่อนข้างจะรู้จักดี ที่มองมาตรมีสถานที่สนุกสนานมาก โรงเต้นรำหลายสิบแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็พยายามจัดทำให้แปลกหรือให้สนุกสนานเป็นการแข่งขันในทางการค้ากันไปในตัว สำหรับผู้เที่ยวแล้วเพลิดเพลินจริงๆ
        กรุงปารีสนี้เป็นกรุงที่มีชื่อเสียงว่าสวยงาม มีผู้คนมาเที่ยวมากมายจากประเทศอื่นๆ เพราะนอกจากได้ชมสถานที่ๆสวยงามแล้ว ในด้านชีวิตก็สนุกไม่มีที่ใดสู้ได้ทั้ง Wine ทั้ง Women และทั้ง song อยู่ในขีดสูงสุดทั้งนั้น โรงเต้นรำ สถานที่สนุกสนานอย่างที่ไม่มีในกรุงอื่น มีนับร้อยนับพันในกรุงนี้ รายได้ของประเทศได้จากคนต่างชาติมาเที่ยวนั้นสูงลิบทีเดียว และสิ่งที่ข้าพเจ้าชอบมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ที่นี่ไม่ถือในเรื่องคนต่างชาติต่างผิวเลย คนดำ คนขาว คนเหลือง เหมือนกันหมด จะทำอะไรก็ไม่มีใครดูถูก ผิดกับในประเทศอเมริกา
        ข้าพเจ้ารู้สึกชอบความเป็นอยู่ของชีวิตและขนบธรรมเนียมกรุงปารีส เวลาเย็นๆ ชอบไปเดินตามถนนสายสำคัญๆ ซึ่งผู้คนเดินไปมามากทั้งหญิงชาย ทางเดินเท้าข้างถนนซึ่งเขาทำไว้กว้างขวางนั้น ตามหน้าร้านอาหารและร้านกาแฟจะต้องมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งไว้สำหรับผู้คนมานั่งรับประทานเหล้าและเครื่องดื่มอื่นๆ บางคนก็มาคอยนัดพบเพื่อน บางคนก็มาปรึกษากิจการค้าหรืออื่นๆ บางคนก็มาคอยหาคู่ บางคนก็มานั่งดูคนเดินไปเดินมาน่าสนุก อยู่ในเมืองอย่างนี้ชั่วแต่ไปเดินเล่นเฉย หรือไปนั่งตามเก้าอี้ที่เขาตั้งหน้าโรงอาหารหรือกาแฟเช่นนั้นก็สบายอกสบายใจดี
        กลางคืนก็ชอบไปเดินเล่นแถวถนน Champs Elysee แล้วไปรับประทานเนยแข็งทอดบนขนมปัง เรียกว่า "เวลซ์แรบบิท" หรือไม่ก็ไปดูสถานที่ๆมีอะไรแปลกๆ ของกรุงปารีส หรือเข้าดูละคร "ฟอลลีส์" คือมีเพลง มีระบำ ผู้หญิงผู้แสดงเกือบไม่นุ่งอะไรเลย หรือไม่ก็ไปเที่ยวแถวมองมาตรซึ่งมีอะไรต่ออะไรที่สนุกและน่าดูมากมาย
        สำหรับเพลงฝรั่งเศสนี้มีทำนองฟังได้ออกทีเดียวว่า แตกต่างจากเพลงของอเมริกันหรืออังกฤษ ทำนองของเขามักจะตุกติกและเร่งๆ จังหวะมาก
        พูดถึงเรื่องเพลงแล้วสำหรับตัวข้าพเจ้ามีความรู้สึกมาก เช่นติดอกติดใจเพลงใด ถ้าเคยได้ยินเพลงนั้นเป็นครั้งแรกหรือได้ยินบ่อยๆ ณ ที่ใดแล้ว ภายหลังได้ยินเพลงนั้นอีกจะต้องนึกถึงที่นั้นๆ ทีเดียว หรือถ้าผู้หญิงที่เราชอบชอบเพลงใดหรือเป็นโอกาสที่เราบังเอิญชอบเพลงเดียวกันแล้ว ถ้าไปได้ยินเพลงนั้นเข้าที่ใดก็ต้องนึกถึงหญิงคนนั้นทุกคราว
        ในประเทศฝรั่งเศสนี้มีอะไรที่น่ากล่าวถึงหลายอย่าง เช่นมีที่อาบน้ำ เราไปอาบน้ำแล้วมีหญิงงามๆ มาถูตัวให้ มีร้านขายอาหารพิเศษต่างๆ เช่นร้านขายอาหารพิเศษในเรื่องเป็ด เราเข้าไปรับประทานเขาก็มีการ์ดบอกมาด้วยว่า เป็ดตัวนี้เป็นตัวที่เท่าใดของร้านนี้ที่เขาทำขายมาแล้ว ดังนี้เป็นต้น
        นายปรีดี พนมยงค์ ได้พาไปเมือง Versilles วันหนึ่งต้องเดินทางไปโดยรถไฟราว ครึ่งชั่วโมงจากกรุงปารีส เมืองนี้มีพระราชวังแวไซล์ใหญ่โตรโหฐาน กว่าจะดูตลอดกินเวลาหลายชั่วโมง น่าชมมากทีเดียว พระราชวังนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยพระเจ้าหลุยซ์ที่ ๑๔ ความสวยงามของพระราชวังนี้ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือน เขาว่าการสร้างพระราชวังนี้ต้องใช้คนจำนวนมากมาย และการสร้างกินเวลาหลายปีกว่าจะเสร็จ ความสำคัญของที่นี่ นอกจากเป็นที่หรูที่สุด สมัยพระเจ้าหลุยซ์ที่ ๑๔ แล้วยังเป็นที่เซ็นสัญญาเมื่อ ค.ศ.๑๙๑๙ คราวที่เยอรมันแพ้สงคราม ซึ่งประเทศเราก็ได้ส่งผู้แทนไปในการนี้ด้วย
        ตั้งต้นซื้อของฝากทุกวัน สิ้นเงินไปไม่น้อย ระหว่างพักอยู่ปารีสนี้ในชั้นต้นได้ไปพักอยู่ที่ "คลาริจ โฮเต็ล" หลายวัน โฮเต็ลนี้เป็นโฮเต็ลหรูมาก อยู่บนถนน Champs Elysee ภายหลังทนความแพงไม่ไหวจึงได้ย้ายไปอยู่ที่โฮเต็ลที่ถูกหน่อย
        วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ออกจากกรุงปารีสไปเที่ยวเมืองนีซ ซึ่งมีระยะทางจากกรุง ปารีสโดยรถไฟกว่า ๑๒ ชั่วโมง เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศสำคัญของฝรั่งเศสเมืองหนึ่งอยู่ชายทะเลทางด้านใต้ของฝรั่งเศส คือริมทะเลเมดิเตอเรเนียน เมืองตากอากาศแถบนี้มีหลายเมืองด้วยกัน ฝรั่งเศสเรียกว่าริเวียรา อากาศสบายไม่หนาวจัดและไม่ร้อนจัดตลอดปี ในประเทศฝรั่งเศสนี้ตามเมืองตากอากาศของเขาจะต้องมีโรงบ่อนเล่นการพนัน ซึ่งในการเล่นการพนันต่างๆ นี้จะต้องเสียค่าภาษีให้รัฐบาลอย่างสูง และก็ปรากฏว่ารัฐบาลได้เงินรายได้จากการพนันนี้มากมาย การพนันที่นิยมกันมากก็คือเบอร์หมุน (Roulette) และไพ่ ๘-๙ (Bacara)
        ในเมืองนีซนี้ข้าพเจ้าได้ไปพักอยู่ที่ "โฮเต็ล เนเกรสโค" ซึ่งเป็นโฮเต็ลที่หรูที่สุด การเดินทางไปเที่ยวคนเดียวเช่นนี้รู้สึกหงอยและหมดสนุกไปมากทีเดียว ข้าพเจ้าได้เข้าไปดูสถานที่การพนันต่างๆ หลายแห่ง แห่งหนึ่งเป็นสนามที่ทำยื่นลงไปในทะเล ในสถานที่นี้มีพร้อมทั้งห้องการพนัน โรงเต้นรำ โรงละคร และที่รับประทานอาหาร ข้าพเจ้าได้ลองเล่นบ้างเล็กน้อย ได้พบคนๆหนึ่งแต่งตัวเรียบร้อยและกิริยามารยาทดี เขาบอกว่าเขาเป็นคนอังกฤษและมีอาชีพเป็น นายแพทย์ ทำท่าทางว่าเป็นคนมีเงินมาก จนไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับเงิน อยากจะทำบุญทำทานบ้าง เขาได้ทำบุญมามากแล้ว เมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทยเขาก็แสดงความประสงค์อยากจะทำบุญในเมืองไทย ทำเป็นทีว่าจะไว้วางใจข้าพเจ้า จะฝากเงินมาช่วยโรงพยาบาลในเมืองไทยตั้งหลายร้อยปอนด์ แล้วเขาก็ได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวในที่ต่างๆ ผลที่สุดก็ล้วงกระเป๋าขโมยเงินข้าพเจ้าไปสองพันกว่าแฟรงค์ เคราะห์ดีที่ข้าพเจ้าแยกเงินไว้สองกระเป๋า ถ้ารวมไว้ก็คงจะตกรถตกเรืออยู่เมืองนีซ นี้เอง

๙๖. ลงเรือ Chantilly เดินทางผ่าน Syria, Egypt Djibuti, Colombo ถึงปีนัง ระหว่างทางทราบว่าพระมงกุฎเกล้าสวรรคต

       วันที่ ๑๒ ออกจากนีซไปมาเซลล์ ซึ่งมีระยะทางไม่ไกลมากนัก ได้ไปพักอยู่คืนหนึ่ง เมืองมาเซลล์นี้เป็นเมืองท่าเรือใหญ่และสำคัญของฝรั่งเศสทางด้านใต้ คือทางด้านทะเลเมดิเตอ- เรเนียน วันที่ ๑๓ ลงเรือของบริษัทฝรั่งเศสชื่อ S.S. Chantilly ขนาดราวหมื่นตัน เพื่อเดินทางกลับเมืองไทย ในเที่ยวเรือนี้ฝรั่งเศสได้ส่งทหารจำนวนมากไปประเทศซีเรีย เรือจึงเดินนอกทางปรกติไปแวะเมืองเบรุท ซึ่งเป็นเมืองท่าเรือสำคัญของประเทศซีเรีย เลยได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองนั้นอีกด้วย เป็นเมืองที่ตึกและบ้านต่างๆมีรูปร่างคล้ายๆ กับเมืองแขก คือ ครึ่งแขกครึ่งฝรั่งเศส แต่ก็ไม่เป็นเมืองที่น่าเที่ยวอะไรนัก ค่อนข้างสกปรก ถนนหนทางเต็มไปด้วยฝุ่น และมีคนขอทานเต็มเมือง คนจนๆ บางคนอุ้มเด็กซึ่งดูคล้ายๆกับว่าตายแล้วมาขอทานเรา ชาวซีเรียนรู้สึกว่ามีคนจนมากที่ๆ หรูหน่อยก็เห็นจะเป็นที่หย่อนใจชายทะเล มีโรงอาหารและโรงเต้นรำ ในเรือลำนี้มีคนไทยร่วมกันมาด้วยคนหนึ่ง คือ นายบุญต่อ ลวสัน เป็นนายทหารซึ่งออกไปศึกษาวิชา ณ ประเทศฝรั่งเศส เป็นเพื่อนที่ดีมาก
        เรือพักอยู่ที่เมืองเบรุทเพียงหนึ่งวันก็ออกเดินทางไปเมืองปอร์ตเสต ในประเทศอียิปต์ หยุดที่นั่นอีกหนึ่งวัน พวกแขกอียิปต์ตามท่าเรือกวนมากเหลือเกิน พอเรือจอดก็วิ่งขึ้นมาบนเรือ รับอาสาเป็นผู้นำทางบ้าง มาขายของบ้าง แต่แขกพวกนี้เก่งอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเรือชาติไหนมามันก็พูดภาษานั้นกับผู้โดยสาร มันพูดได้หลายภาษา ของที่เอามาขายก็บอกเกินราคาหลายสิบเท่าตัว เช่น มาขายบอกราคา ๑๕๐ แฟรงค์ เราต่อเล่นๆว่า ๕ แฟรงค์ เขาเกี่ยงไปเกี่ยงมาแล้วลงท้ายก็ให้ดังนี้ เรื่องโกงกับเรื่องขโมยต้องระวังตัวให้มากทีเดียวเผลอไม่ได้ เวลาเรือจอดอยู่นั้นเราต้องปิดประตูหน้าต่างห้องของเรา ขืนเปิดทิ้งไว้ของเป็นหายแน่ ตามคำบอกเล่าของผู้ที่เคยผ่านเมืองนี้ว่าพวกนี้ นอกจากโกงและขโมยแล้วยังต้ม (Blackmail) เก่งอีก เช่นเขาชวนไปดูของแปลกๆ อาจล่อให้ไปดูระบำหญิงเปลือยกาย ฯลฯ แล้วเขาก็จับตัวเราเอาขังไว้ ต้องให้เงินเท่านั้นเท่านี้จึงจะปล่อยตัวให้กลับมาให้ทันเรือออก ดังนี้ก็มี
        เมืองปอร์ตเสตนี้เป็นเมืองปากคลองสุเอซทางด้านเหนือ ซึ่งคลองนี้เป็นคลองที่ขุดขึ้นเพื่อตัดทางคมนาคมทางเรือระหว่างยุโรปและเอเซียให้ใกล้เข้าไม่ต้องอ้อมทวีปแอฟริกา คลองนี้ยาวประมาณ ๘๐ ไมล์ การเดินทางกินเวลาประมาณ ๑๒ ชั่วโมง แล้วก็ถึงเมืองสุเอซ ซึ่งเป็นเมืองปากคลองทางด้านใต้ แล้วเรือก็ออกเดินทางต่อไปในทะเลแดงซึ่งอากาศค่อนข้างร้อนจัด ต่อไปอีกประมาณ ๓ วันถึงเมืองจิบูตี เมืองนี้เล็กมากเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส พอเรือจอดพวกแขกดำก็ปีนเรือขึ้นมาขายดาบคมๆ น่าเสียวไส้ เราขึ้นไปเที่ยวบนบก มีถนนอยู่ ๒.-๓ สาย สกปรก ฝุ่น แมลงวันตัวโตๆ ห้องรับประทานอาหารตามโรงร้านต้องใส่ประตูหน้าต่างลวดเพื่อกันแมลงวัน มีโฮเต็ลเล็กๆ อยู่โฮเต็ลหนึ่งรถยนต์ไม่ค่อยมี มีแต่รถม้า สรุปรวมความว่าเมืองนี้ไม่มีอะไรน่าดูเลย แต่เป็นเมืองท่าที่จะขึ้นรถไฟไปกรุงอดิสอะบาบา เมืองหลวงของประเทศอบิสสิเนีย
        พวกแขกดำในเมืองนี้จำนวนมากได้พายเรือเล็กมาที่ข้างเรือใหญ่ แล้วขอให้เราโยนสตางค์ลงไปในน้ำ แล้วเขากระโดดลงน้ำดำลงไปแย่งสตางค์กัน ใครได้สตางค์เวลาเขาโผล่หัวขึ้นมาจากเขาก็ชูสตางค์ให้เราดู
        ออกจากจิบูตีได้สองสามวันก็เข้าสู่ทะเลอินเดียน เช้าวันหนึ่งนายบุญต่อวิ่งหน้าตาตื่นมาในห้องข้าพเจ้าว่า ข่าวโทรเลขมาว่าพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จสวรรคตเสียแล้ว เราตกใจกันมากเพราะไม่ทราบข่าวประชวร นึกไปในทางว่าจะเป็นแอกซิเดนต์หรือขบถ และใครจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ในเรือลำนี้มี M.Pilla อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงสยามได้โดยสารมาด้วย เขารู้จักกับบิดาข้าพเจ้าดี เรายังได้คุยกันถึงเรื่องการสวรรคตนี้ เมื่อเรือถึงโคลัมโบนายบุญต่อกับข้าพเจ้ารีบไปหาซื้อหนังสือพิมพ์ดูข่าว จึงได้ทราบว่าประชวรอยู่ ๒ อาทิตย์และจึงได้สวรรคต ข้าพเจ้าจึงได้มานึกคิดว่าวันกำหนดเรือออกวันที่ ๑๓ จากเมืองมาเซลล์นั้น ข้าพเจ้านึกใจไม่ดีอยู่แล้วเหมือนกันว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเวลาอยู่อเมริกา พวกเพื่อนนักเรียนเคยถือลางเรื่องเลข ๑๓ ไม่ว่าจะทำอะไรถ้าเป็นเลข ๑๓ แล้วเขาถือเป็นลางร้าย
        เมืองโคลัมโบนี้ ตั้งอยู่ในเกาะซีลอนปลายแหลมทางใต้ของประเทศอินเดีย เมืองนี้เป็นเมืองท่าเรือสำคัญมาก บ้านเมืองทางด้านริมทะเลฝรั่งทำไว้เสียดี ดูสะอาดสะอ้านมีโฮเต็ลหรู มีถนนใหญ่ ตึกใหญ่ ห้างร้านใหญ่ๆ ถนนริมทะเล ฯลฯ เรือได้จอดอยู่เมืองนี้หนึ่งวัน ซึ่งเราได้ขึ้นเที่ยวชมเมืองโดยตลอด พวกแขกอินเดียนตามท่าเรือก็กวนผู้โดยสาร โดยรับจะเป็นผู้นำทางให้บ้าง นายหน้าหารถเช่าให้บ้าง เป็นที่น่ารำคาญไม่แพ้เมืองปอร์ตเสต
        ขนบธรรมเนียมในเรือฝรั่งเศสนี้ออกจะแปลกกับเรือบริษัทอื่นๆ เช่น อาหารเช้าใส่เสื้อกางเกงนอนไปรับประทานในห้องอาหารก็ได้ กลางคืนดึกๆ ก็แต่งตัวอย่างนั้นเดินรอบๆ "เด็ค" ก็ได้ ซึ่งเรือบริษัทอื่นๆ ทำอย่างนี้ไม่ได้ นับว่าสบายเป็นพิเศษ ในโต๊ะอาหารซึ่งมีทั้งหญิงและชาย เขาอาจคุยกันถึงเรื่องลามกก็ได้ ดูไม่ถือกันเสียเลย สำหรับอาหารในเรือแล้วมีคนชมว่า อาหารในเรือฝรั่งเศสนั้นดี ข้าพเจ้าก็ออกจะเห็นด้วย ที่ว่าดีนั้นไม่ใช่ว่ามีของดีๆ ให้เลือกมากอย่าง แต่หมายความว่าพ่อครัวเขาปรุงรสชาติดี ซึ่งเรื่องนี้พวกนักท่องเที่ยวต่างๆ ก็ได้ลงมติแล้วว่า อาหารในประเทศฝรั่งเศสปรุงรสชาติดีกว่าประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป
        เรือ "ชองตียี" เป็นเรือค่อนข้างเก่า มีขนาดยาวประมาณ ๕๐๐ ฟิต กว้างประมาณ ๕๐ ฟิต ห้องต่างๆ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องสูบบุหรี่ ห้องรับประทานอาหาร ห้องเขียนหนังสือ ฯลฯ เหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะหรูหรานัก ความสนุกสนานในเรือลำนี้มีน้อยหน่อยเพราะไม่มีการแข่งขันกีฬา ไม่มีวงดนตรีบรรเลง ไม่มีภาพยนตร์ ไม่มีเต้นรำเหมือนอย่างเรืออื่นๆ วันหนึ่งเรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเลเกิดควันโขมงขึ้นทั้งลำเรือ คนโดยสารตกใจกันมาก แต่กัปตันนั่งเล่นหมากรุกอย่างใจเย็น เพราะเหตุอย่างนี้คงเกิดขึ้นเสมอ ผลที่สุดคงได้ความว่าท่อแตกเล็กน้อยเล่นเอาใจหายกันไปหมด เพราะเรือฝรั่งเศสมีเรื่องไฟไหม้อยู่เสมอ
        ก่อนถึงปีนังได้มีงานรื่นเริงกันคืนหนึ่ง ซึ่งเขาขอให้ข้าพเจ้าช่วยแสดงการเล่นดนตรี ข้าพเจ้าจึงได้ช่วยแสดงการเล่นแบนโจเพลง Indian Love call เพลงนี้ได้เล่นสองเสียงประสานกันคนเดียวตลอดเพลง แล้วได้เล่นแซกโซโฟนเพลง After the Storm เสร็จแล้วเล่นกีตาร์ฮาวายเพลง "อโลฮา" พวกคนโดยสารชอบกันมาก ตอนหมดการแสดงแล้วเขาอยากเต้นรำกันจึงได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าและฝรั่งอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งเล่นเปียโนเก่งเล่นด้วยกันให้เขาเต้นรำต่อไป เราสองคนจึงได้เล่นเพลงต่างๆ ไปอีกตั้งหลายชั่วโมง เพื่อให้เขาเต้นรำ
        วันที่ ๙ ธันวาคม (๒๔๖๘) เรือถึงปีนัง ทางบ้านได้โทรเลขมาบอกพระยารัตนเศรษฐี (ตระกูล ณ ระนอง) บุตรพระยารัตนเศรษฐีจึงมารับข้าพเจ้าในเรือ แล้วพาไปพักที่อีแอนด์โอโฮเต็ล บุตรพระยารัตนเศรษฐีได้เป็นผู้นำเที่ยวตลอดปีนัง ได้ไปดูสวนสัตว์ สวนดอกไม้ ได้ไปดูวัดแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยงูที่เชื่องเหลือเกิน วัดนี้ตั้งอยู่นอกเมืองออกไปหลายไมล์ เท่าที่แลเห็นเข้าใจว่ามีงูทั้งสิ้นในที่นี้หลายร้อยตัวเลื้อยยุ่มย่ามไปหมด เป็นของแปลกเหมือนกัน นอกจากนั้นได้พาขึ้นไปบนเขาโดยรถรางซึ่งลากขึ้นไปด้วยสายลวด อากาศข้างขนเขาเย็นสบายดีมาก รู้สึกว่าเขาได้พาเราไปดูทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าดูบนเกาะนี้ และยังได้เอารถยนต์มาทิ้งไว้ให้ใช้หนึ่งคัน
        เกาะปีนังนี้คนไทยเรียกกันว่าเกาะหมาก ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของแหลมมลายูใต้เมืองไทรบุรีลงไปหน่อย เกาะนี้มีเนื้อที่ประมาณ ๑๑๐ ตารางไมล์ ตกมาเป็นของอังกฤษเมื่อ ค.ศ.๑๗๘๖ บ้านเมืองเขาสะอาดดีมาก

๙๗. กลับถึงประเทศไทย

       วันที่ ๑๑ ธันวาคม เวลาเช้าออกจากเกาะปีนังข้ามฟากโดยเรือ Ferry ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๒ ไมล์ ไปที่สถานีรถไฟที่ไปเพื่อขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ พอถึงสถานีเห็นขบวนรถไฟไทยจอดอยู่ทำให้ดีใจเหลือเกิน ขบวนรถพ่วงนั้นเป็นรถของไทยทั้งสิ้น แต่ตัวรถจักรในตอนนี้เป็นรถจักรของมลายูลาก ทางรถไฟผ่านเมืองไทรบุรีถึงปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นสถานีเขตแดนไทยกับมลายู ตอนกลางวัน ณ ที่นี้เปลี่ยนรถจักรเป็นของไทย ทุกๆ คนต้องหมุนนาฬิกากลับคนละ ๒๐ นาที เพื่อให้ตรงต่อเวลาของเมืองไทย เจ้าหน้าที่ภาษีมาขอตรวจของ เจ้าหน้าที่หนังสือเดินทางมาขอตรวจดูหนังสือเดินทาง ฯลฯ แล้วเราก็ได้ส่งภาษาไทยกันเต็มที่ ไม่มีโอกาสอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ตอนบ่ายถึงหาดใหญ่ซึ่งเป็นสถานีมีทางแยกไปสงขลา ที่สถานีนี้เจ้าเมืองสงขลาได้มาต้อนรับและนำผลไม้มาให้หนึ่งกระเช้า ขณะนั้นบิดาข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตอนดึกรถถึงสถานีสุราษฎร์ พระยาสุขุมฯ พี่ชายใหญ่ซึ่งได้มาดูกิจการของบริษัทบ่อถ่านได้มาคอยต้อนรับ และได้ขึ้นรถไฟเที่ยวนั้นกลับกรุงเทพฯ ด้วยกัน วันที่ ๑๒ เวลาบ่ายรถถึงนครปฐมมีมารดาพี่น้องและคนรู้จักกันมารับเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้พบมารดา เวลาค่ำรถถึงบางกอกน้อยบิดามาคอยรับอยู่ พอถึงบ้านออกจะตื่นเต้นหน่อยด้วยความดีใจ มารดาได้จัดให้พักอยู่ที่เรือนริมกำแพงติดกับประตูบ้าน รู้สึกว่าเมืองไทยสบายมาก เสียอย่างเดียวยุงชุมเหลือเกิน ในวันแรกนั้นต้องทำความรู้จักกับญาติพี่น้องหลายสิบคน ซึ่งจำกันไม่ได้เพราะบางคนเมื่อจากกันไปยังเล็กๆอยู่ บางคนก็ยังไม่ได้เกิดด้วยซ้ำ บางคนก็มาอยู่ภายหลังเมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว
        เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพภายหลังที่ได้จากไปเกือบ ๙ ปี ได้เดินทางรอบโลก ซึ่งผ่านมลายู จีน ญี่ปุ่น เกาะฮาวาย อเมริกา คานาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ฮอลันดา ซีเรีย อียิปต์ อินเดีย

มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ชีวิตข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุ ๒๑ ปีเศษนี้ มีโชคชะตาค่อนข้างดีมาก

ข้อหนึ่งทีเดียว ได้เกิดมาเป็นบุตรของบิดาและมารดาที่จะหาดีกว่านี้ไม่ได้ ใจดีอารีอารอบ ไม่มีการเห็นแก่ตัว จนเป็นที่นับถือของผู้คนส่วนมาก และเป็นคนโปรดของพระเจ้าแผ่นดินทั้งรัชกาลที่ ๕ และ ๖ รักลูก อบรมลูกให้ดี ไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้มีความกตัญญู ฯลฯ
ข้อสอง บิดาเป็นคนใหญ่โต เป็นเสนาบดีมาเกือบจะว่าตลอดชีวิตข้าพเจ้า มีอำนาจวาสนามาก ความเป็นไปของข้าพเจ้าจึงต้องดีกว่าธรรมดา
ข้อสาม บิดามารดามีเงินทองพอเพียงที่จะให้ความสุขแก่ข้าพเจ้าในชีวิต คือการกินอยู่หลับนอน เครื่องแต่งตัว และการศึกษา
ข้อสี่ ได้มีโอกาสไปศึกษาวิชาต่างประเทศ ซึ่งนอกจากได้รับวิชามาแล้วยังได้เปิดหูเปิดตาเห็นโลกอีกด้วย
ข้อห้า ระหว่างการศึกษาอยู่ในประเทศอเมริกานั้น จะเป็นโชคชะตาวิเศษอย่างใดของข้าพเจ้าไม่ทราบ จึงบันดาลให้คนอเมริกันรักใคร่นับถืออย่างมาก เช่นอยู่โรงเรียนก็ได้เป็นหัวหน้าใหญ่ของโรงเรียน รับเลือกจากนักเรียนให้รับตำแหน่งเกียรติยศสูงสุดของโรงเรียนทุกตำแหน่ง แม้จนกระทั่งอาจารย์ก็ยกย่องตามนักเรียนไปด้วย เข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ก็ได้รับเกียรติยศเช่นเดียวกับอยู่โรงเรียนเล็ก ซึ่งการเป็นเช่นนี้ไม่ค่อยจะปรากฏกับนักเรียนต่างชาติ
ข้อหก ได้เห็นและรู้จักชีวิตของคนอเมริกันโดยใกล้ชิด เพราะได้รับเชิญไปตามครอบครัวต่างๆ ทั้งที่สูง ปานกลาง และต่ำ และได้เที่ยวอย่างเปิดหูเปิดตา
ข้อเจ็ด ได้มีรถยนต์ในประเทศอเมริกา ซึ่งทำให้กว้างขวางขึ้น เพราะได้เที่ยวตามเมืองต่างๆ
ข้อแปด ได้เล่นกีฬาหลายชนิดอยู่ในทีมของโรงเรียนและของมหาวิทยาลัย ได้มีชื่อเสียงจนหนังสือพิมพ์ลงรูปและเรื่องราวชมเชยแทบทุกวันอยู่เป็นเวลานาน และได้เล่นเป็นอาชีพได้
ข้อเก้า ได้เล่นดนตรีเป็นหลายอย่างจนกระทั่งเล่นเป็นอาชีพได้
ข้อสิบ ได้เป็นบรรณาธิการใหญ่ของหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นตำแหน่งมีเกียรติสูงสุดตำแหน่งหนึ่งในมหาวิทยาลัย
ข้อสิบเอ็ด การเดินทางกลับก็ได้มีโอกาสเที่ยวในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นการได้เดินทางรอบโลก
ข้อสิบสอง กลับถึงบ้านก็พรั่งพร้อมไปด้วยบิดามารดาคอยเอาใจใส่เป็นธุระ มีบ้านอยู่สบาย ฯล ฯ
เข้าวันแรกในกรุงเทพฯ ของข้าพเจ้า ได้ตื่นแต่เช้าตรู่แล้วไปเดินเล่นในสวนลุมพินีกับบิดา สวนลุมพินีนี้อยู่ตรงหน้าบ้าน เมื่อข้าพเจ้าไปต่างประเทศนี้เป็นทุ่งนา แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนสภาพเป็น "ปาร์ก" และเตรียมการก่อสร้างที่จะมี Exposition เนื่องจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ได้เสวยราชย์มาครบ ๑๕ ปี แต่เมื่อเสด็จสวรรคตเสียแล้วงานนี้จึงเป็นอันต้องล้มเหลวไป น่าเสียดายมาก

กลับที่เรี่มต้น
กลับไปสารบัญ

จบตอนที่หนึ่ง